พบผลลัพธ์ทั้งหมด 493 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5975/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงเนื้อที่ดินในการซื้อขาย ทำให้สัญญาเป็นโมฆียะ และมีสิทธิบอกล้างได้
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับจำเลยโดยโจทก์ไม่เคยไปดูที่ดินที่ซื้อ จำเลยยืนยันว่าที่ดินมีเนื้อที่ตรงตาม ส.ค.1 ซึ่งไม่เป็นความจริง จึงเป็นการหลอกลวงฉ้อฉลโจทก์ให้เข้าทำสัญญา หากไม่มีการหลอกลวงโจทก์จะไม่เข้าทำสัญญา สัญญาจะซื้อขายที่ดินจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 วรรคหนึ่งและวรรคสอง โจทก์มีสิทธิบอกล้างตามมาตรา 175(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5255/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในคดีฉ้อโกง: การหลอกลวงด้วยเอกสารเท็จและเช็คไม่มีมูล
สัญญากู้ที่จำเลยทำให้ไว้แก่โจทก์ร่วมนั้น จำเลยทำในนามของ ป. ซึ่งไม่มีตัวจริง ทั้งเช็คที่จำเลยนำมาแลกจำเลยยืมของบุคคลอื่นมาเป็นเช็คที่ปิดบัญชีแล้ว ลายมือชื่อที่จำเลยลงในเช็คก็ใช้ภาษาจีนไม่เป็นไปตามตัวอย่างที่ให้ไว้กับธนาคารเช็คที่ใช้แลกเงินจากโจทก์ร่วมไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ การหลอกลวงเอาเงินจากโจทก์ร่วมโดยทำหลักฐานการกู้หรือมอบเช็คให้โจทก์ร่วมดังกล่าวก็เป็นการหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินนั่งเอง จำเลยมิได้มีเจตนาจะผูกพันตามสัญญากู้ หรือเช็คที่นำไปแลกแต่อย่างใดการกระทำของจำเลยครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5096/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานหลอกลวงเรียกรับเงินเข้าตัวเอง มีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์
ครั้งแรก จำเลยและ ถ. ไปบ้านผู้เสียหาย ถ. บอกผู้เสียหายว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยได้ยินคำพูดของ ถ. แต่ก็นิ่งเฉยและมิได้ปฏิเสธเท่ากับจำเลยต้องการให้ผู้เสียหายเชื่อหรือเข้าใจตามที่ ถ. บอก ทั้งจำเลยได้เรียกเงินจำนวน 2,000บาท จากผู้เสียหายมิฉะนั้นจะจับผู้เสียหาย พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยได้แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานแล้ว ส่วนการเรียกรับเงินครั้งที่สอง แม้จำเลยไม่ได้บอกหรืออ้างว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจแต่จำเลยเคยไปหาผู้เสียหายและมีพฤติการณ์แสดงให้ผู้เสียหายเชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจริง ทั้งผู้เสียหายเคยให้เงินแก่จำเลยเพื่อมิให้ถูกจับมาก่อน การที่จำเลยไปเรียกเงินจากผู้เสียหายอีกโดยขู่ว่าหากไม่ให้จะจับผู้เสียหาย จนผู้เสียหายยอมให้เงินจำนวน 2,000 บาท แก่จำเลยเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานโดยจำเลยมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น และมีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145 และ 337
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4324/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทสัญญากู้ยืมและการค้ำประกัน โดยอ้างเหตุถูกหลอกลวงและใช้เอกสารโดยไม่ยินยอม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1ชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันโดยรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 2ให้การและฟ้องแย้งว่า ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง แต่ถูก ช.หลอกลวงเอา น.ส.3 ตามฟ้องไปโดยอ้างว่าสามารถขายได้ราคาดี และถูกหลอกลวงให้ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจและสัญญาค้ำประกันที่ยังไม่ได้กรอกข้อความแล้วโจทก์กับ ช.ร่วมมือกันใช้ชื่อจำเลยที่ 1 นำสัญญากู้ หนังสือมอบอำนาจและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวไปกรอกข้อความโดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ยินยอม และนำ น.ส.3ตามฟ้องไปให้โจทก์ยึดถือเป็นประกันเงินกู้ ขอให้บังคับโจทก์คืน น.ส.3 แก่จำเลยที่ 2ดังนี้ มูลคดีตามฟ้องแย้งเกี่ยวข้องกับมูลคดีตามคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4324/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องบังคับชำระหนี้ค้ำประกันและการยกเว้นหนี้เนื่องจากถูกหลอกลวง ศาลรับฟ้องแย้งเพื่อพิจารณาควบคู่
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1ชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันโดยรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง แต่ถูก ช. หลอกลวงเอาน.ส.3 ตามฟ้องไปโดยอ้างว่าสามารถขายได้ราคาดี และถูกหลอกลวงให้ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจและสัญญาค้ำประกันที่ยังไม่ได้กรอกข้อความแล้วโจทก์กับ ช. ร่วมมือกันใช้ชื่อจำเลยที่ 1 นำสัญญากู้ หนังสือมอบอำนาจและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวไปกรอกข้อความโดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ยินยอมและนำ น.ส.3 ตามฟ้องไปให้โจทก์ยึดถือเป็นประกันเงินกู้ขอให้บังคับโจทก์คืน น.ส.3 แก่จำเลยที่ 2 ดังนี้ มูลคดีตามฟ้องแย้งเกี่ยวข้องกับมูลคดีตามคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาชี้ขาดตัดสิน ไปด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 885/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลอกลวงจัดหางานไปทำงานญี่ปุ่น เรียกเก็บเงินค่าใช้จ่าย
ส.ได้พูดชักชวนว่าจะส่งผู้เสียหายทั้งสองไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นโดยผู้เสียหายทั้งสองต้องเสียค่าใช้จ่ายให้คนละ 180,000 บาท แล้ว ส.พา ว.สามีของจำเลยไปรับเงินค่าใช้จ่ายจากผู้เสียหาย 22,000 บาท กับพาผู้เสียหายเดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร ระหว่างพักอยู่ในกรุงเทพมหานคร ว.ได้รับเงินจากผู้เสียหายทั้งสองอีกหลายครั้ง การรับเงินจากผู้เสียหายดังกล่าวจำเลยอยู่ร่วมรู้เห็นด้วยในบางครั้ง และจำเลยเป็นคนพาผู้เสียหายไปติดต่อทำหนังสือเดินทาง และในระหว่างที่ผู้เสียหายทั้งสองพักอยู่ที่โรงแรมในกรุงเทพมหานครและที่บ้านของจำเลยในอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี จำเลยเป็นคนช่วยดูแลและออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆให้แก่ผู้เสียหาย ดังนี้ แม้จำเลยมิได้ร่วมไปชักชวนผู้เสียหายตั้งแต่ขณะแรก แต่พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกโดยแบ่งหน้าที่กันจัดหางานให้แก่คนหางานเพื่อไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหางานเพื่อส่งคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ และจำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายว่าจำเลยกับพวกสามารถส่งผู้เสียหายไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้ อันเป็นความเท็จ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อมอบเงินแก่จำเลยกับพวกไปจริง จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341, 83 และ พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 4, 30, 82 ประกอบ ป.อ.มาตรา 83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 885/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จัดหางานผิดกฎหมายหลอกลวงผู้เสียหาย ให้จำคุกและปรับ ลดโทษและรอการลงโทษ
ส. ได้พูดชักชวนว่าจะส่งผู้เสียหายทั้งสองไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นโดยผู้เสียหายทั้งสองต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ180,000บาทแล้วส. พาว. สามีของจำเลยไปรับเงินค่าใช้จ่ายจากผู้เสียหาย22,000บาทกับพาผู้เสียหายเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครระหว่างพักอยู่ในกรุงเทพมหานครว.ได้รับเงินจากผู้เสียหายทั้งสองอีกหลายครั้งการรับเงินจากผู้เสียหายดังกล่าวจำเลยอยู่ร่วมรู้เห็นด้วยในบางครั้งและจำเลยเป็นคนพาผู้เสียหายไปติดต่อทำหนังสือเดินทางและในระหว่างที่ผู้เสียหายทั้งสองพักอยู่ที่โรงแรมในกรุงเทพหานครและที่บ้านของจำเลยในอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานีจำเลยเป็นคนช่วยดูแลและออกค่าใช้จ่ายต่างๆให้แก่ผู้เสียหายดังนี้แม้จำเลยมิได้ร่วมไปชักชวนผู้เสียหายตั้งแต่ขณะแรกแต่พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกโดยแบ่งหน้าที่กันจัดหางานให้แก่คนงานเพื่อไปทางานที่ประเทศญี่ปุ่นโดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหางานเพื่อส่งคนงานไปทำงานในต่างประเทศและจำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายว่าจำเลยกับพวกสามารถส่งผู้เสียหายไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นได้อันเป็นความเท็จเป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อมอบเงินแก่จำเลยกับพวกไปจริงจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา341,83และพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ.2528มาตรา4,30,82 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 671/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงเพื่อเบิกถอนเงินโดยใช้บัตรผู้อื่นเป็นความผิดฐานฉ้อโกง แม้ฟ้องเป็นลักทรัพย์
การที่จำเลยรับอาสาว่าจะนำบัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหายไปตรวจสอบยอดเงินในบัญชีเงินฝาก แต่กลับนำบัตรบริการเงินด่วนดังกล่าวไปเบิกถอนเงินจากตู้ เอ.ที.เอ็ม. ของธนาคาร เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าจำเลยหลอกลวงเอาบัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหายเพื่อนำไปใช้เบิกถอนเอาเงินจากตู้เอ.ที.เอ็ม. และการที่จำเลยใช้บัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหายเบิกถอนเงินถือได้ว่าเงินที่จำเลยเบิกถอนจากตู้ เอ.ที.เอ็ม. เป็นเงินของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์แต่ทางพิจารณาได้ความว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ศาลก็ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม
แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์แต่ทางพิจารณาได้ความว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ศาลก็ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 671/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายให้ได้บัตรเอทีเอ็มไปเบิกถอนเงิน ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกง แม้ฟ้องในความผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยอาสานำบัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหายไปตรวจสอบยอดเงินในบัญชีเงินฝากแต่กลับนำบัตรไปเบิกถอนเงินจากตู้เอ.ที.เอ็ม.ของธนาคารไปถือว่าจำเลยหลอกเอาบัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหายไปเพื่อเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากในธนาคารของผู้เสียหายจากตู้เอ.ที.เอ็ม.ของธนาคารเงินที่เบิกถอนนั้นเป็นของผู้เสียหายจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงเงินของผู้เสียหายแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานลักทรัพย์ศาลก็ลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 671/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงผู้อื่นให้ได้บัตรเอทีเอ็มและเบิกถอนเงิน ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกง แม้ฟ้องฐานลักทรัพย์
การที่จำเลยรับอาสาว่าจะนำบัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหายไปตรวจสอบยอดเงินในบัญชีเงินฝากแต่กลับนำบัตรบริการเงินด่วนดังกล่าวไปเบิกถอนเงินจากตู้เอ.ที.เอ็ม.ของธนาคารเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าจำเลยหลอกลวงเอาบัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหายเพื่อนำไปใช้เบิกถอนเอาเงินจากตู้เอ.ที.เอ็ม.และการที่จำเลยใช้บัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหายเบิกถอนเงินถือได้ว่าเงินที่จำเลยเบิกถอนจากตู้เอ.ที.เอ็ม.เป็นเงินของผู้เสียหายการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์แต่ทางพิจารณาได้ความว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงศาลก็ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสาม