คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อาวุธ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 419 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังโดยใช้อาวุธ แม้ไม่ได้ชักปืนแต่เตรียมพร้อมใช้ก็ถือเป็นความผิด
จำเลยทั้งสามมีอาวุธปืนติดตัวขึ้นไปบนสถานีตำรวจ จำเลยที่ 1ขอให้ผู้เสียหายไปตรวจค้นบ้านบุคคลอื่น แต่ผู้เสียหายไม่ยอมทำตามจำเลยที่ 1 จึงใช้อาวุธปืนจี้บังคับไม่ยอมให้ผู้เสียหายออกจากห้องแล้วใช้มือล็อกคอและกอดปล้ำบังคับผู้เสียหายให้นั่งบนโซฟาโดยจำเลยที่ 2 ถืออาวุธปืนสั้นและจำเลยที่ 3 ยืนจับด้ามปืนสั้นที่เอว แม้จำเลยที่ 3 จะไม่ได้ชักปืนออกมาก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่ 3 แสดงว่าจำเลยที่ 3 ได้เตรียมพร้อมที่จะใช้อาวุธปืนบังคับผู้เสียหายด้วย จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1และที่ 2 หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1356/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี โดยใช้อาวุธและไม่ยินยอม ความผิดตามมาตรา 277 วรรคสาม
ผู้เสียหายเป็นบุตรติด จ. แล้ว จ. มาอยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลย อำนาจปกครองผู้เสียหายตกแก่ จ.ผู้เป็นมารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1568การที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยใช้อาวุธและโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสามเท่านั้น กรณี ไม่ต้องด้วยมาตรา 285

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1356/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี โดยใช้อาวุธและไม่ยินยอม ศาลฎีกาแก้ไขโทษตามมาตรา 277 วรรคสาม
ผู้เสียหายเป็นบุตรติดของ จ. จ. มาอยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยอำนาจการปกครองผู้เสียหายจึงตกแก่ จ.ผู้เป็นมารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1568 การที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสามเท่านั้น ไม่ต้องด้วยมาตรา 285 อันเป็นบทบัญญัติที่ให้วางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ หนึ่งในสาม ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยเองได้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวิวาทโดยมีอาวุธและการเจตนาฆ่า: ป้องกันตัวใช้ไม่ได้
แม้จำเลยจะมีพวกน้อยกว่า แต่จำเลยกับพวกมีทั้งอาวุธปืนและอาวุธมีด น่าจะเป็นเหตุให้จำเลยกับพวกไม่ได้เกรงกลัวโจทก์ร่วมกับผู้เสียหาย การทะเลาะวิวาทระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเป็นการสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน อันเป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจอ้างเรื่องป้องกันตัวมาเป็นข้อต่อสู้ได้ แม้ว่าในระหว่างวิวาทกันนั้นจำเลยอาจเพลี่ยงพล้ำไปบ้างก็ตาม และกรณีที่โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายฝ่ายหนึ่ง และจำเลยกับพวกอีกฝ่ายหนึ่งได้เกิดวิวาททำร้ายกัน และจำเลยใช้อาวุธปืนพกที่ติดตัวไปยิงโจทก์ร่วมกับพวกและใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงโจทก์ร่วมและผู้เสียหายเช่นนี้เป็นคนละกรณีกับเรื่องชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปเพราะกรณีดังกล่าวจะต้องเป็นกรณีที่ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ใดร่วมกับใครทำร้ายโจทก์ร่วมและการที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงโจทก์ร่วมกับพวก กระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมและพลาดไปถูกผู้อื่น ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวิวาทโดยมีอาวุธ การอ้างป้องกันตัวไม่สมเหตุผล และเจตนาฆ่าจากการใช้อาวุธร้ายแรง
แม้จำเลยจะมีพวกน้อยกว่า แต่จำเลยกับพวกมีทั้งอาวุธปืนและอาวุธมีด น่าจะเป็นเหตุให้จำเลยกับพวกไม่ได้เกรงกลัวโจทก์ร่วมกับผู้เสียหาย การทะเลาะวิวาทระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเป็นการสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน อันเป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจอ้างเรื่องป้องกันตัวมาเป็นข้อต่อสู้ได้ แม้ว่าในระหว่างการวิวาทกันนั้นจำเลยอาจเพลี่ยงพล้ำไปบ้างก็ตาม และกรณีที่โจทก์ร่วมกับผู้เสียหายฝ่ายหนึ่ง และจำเลยกับพวกอีกฝ่ายหนึ่งได้เกิดวิวาททำร้ายกัน และจำเลยใช้อาวุธปืนพกที่ติดตัวไปยิงโจทก์ร่วมกับพวกและใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงโจทก์ร่วมและผู้เสียหายเช่นนี้เป็นคนละกรณีกับเรื่องชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปเพราะกรณีดังกล่าวจะต้องเป็นกรณีที่ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ใดร่วมกับใครทำร้ายโจทก์ร่วมและการที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงโจทก์ร่วมกับพวก กระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมและพลาดไปถูกผู้อื่นถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4464/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองอาวุธปืน: การกระทำที่ไม่ได้ครอบครองจริง ไม่อาจถือว่ามีความผิด
จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์พา ส.ซึ่งถูกยิงไปโรงพยาบาลโดยมีจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายไปด้วย เมื่อถึงบ้านมารดาจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 นำอาวุธปืนสั้น 2 กระบอกของ ส.จากเอวของส.โยนทิ้งไว้หน้าบ้านนั้น เช่นนี้อาวุธปืนดังกล่าวอยู่กับส.ตลอดมาไม่ได้อยู่ในครอบครองของจำเลยทั้งสองเลย ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีอาวุธปืนดังกล่าวไว้ในครอบครอง และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะโดยมิได้รับอนุญาต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2716/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์โดยข่มขู่ด้วยการแสดงอาวุธและท่าทางข่มขู่ ผู้เสียหายกลัวจึงมอบเงินให้
จำเลยทั้งสองเดินเข้ามาหาผู้เสียหายทั้งสองและจำเลยที่ 1พูดขอเงิน 5 บาท ผู้เสียหายที่ 1 บอกว่าไม่ค่อยมีเงิน จำเลยคนหนึ่งก็พูดว่ามีเท่าไรก็เอามาเถอะ พร้อมกับที่จำเลยทั้งสองเดินเข้ามาหาผู้เสียหายทั้งสอง จำเลยที่ 2 ถือของแข็งยาวประมาณ1 แขน ห่อด้วยกระดาษและเคาะของแข็งกับฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 1 ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาและใช้มือข้างหนึ่งตบที่ขากางเกงข้างนั้น ผู้เสียหายทั้งสองกลัว จึงให้เงินแก่จำเลยที่ 1 ไป ดังนี้การกระทำและคำพูดของจำเลยทั้งสองถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งสองว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ผู้เสียหายทั้งสองส่งเงินให้แก่จำเลยทั้งสองนั่นเอง จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1983/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าร่วมกัน: กลุ่มบุคคลทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธจนถึงแก่ความตาย
ผู้ตายกับพวกนั่งคุยกันอยู่ในบริเวณโรงเรียน จำเลยกับพวกอีก 5 คน เดินเข้าไปหาแล้วจำเลยถาม ป. พวกของผู้ตายว่าไปท้าทายเพื่อนจำเลยจริงหรือไม่ ป. ตอบว่าเพียงแต่พูดล้อเล่นเท่านั้น และพูดขอโทษจำเลย ระหว่างนั้นผู้ตายซึ่งมีอาการเมาสุราได้พูดกับจำเลยว่าให้จำเลยชกต่อยกับ ป. ตัวต่อตัว แต่มีอาจารย์เข้ามาห้ามเสียก่อน ต่อมาเมื่อผู้ตายกับพวกออกไปที่หน้าโรงเรียนจำเลยกับพวกประมาณ 10 คน พากันขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์3 คันมาที่โรงเรียนแล้วจำเลยกับพวกประมาณ 3-4 คน ลงจากรถจักรยานยนต์เดินเข้าไปหาผู้ตายกับพวกจำเลยถาม ป.ว่า ใครพูดว่าให้จำเลยชกกันตัวต่อตัว แต่ ป. ไม่ยอมบอก จำเลยจึงกระโดดเข้าชกผู้ตาย 1 ที ผู้ตายวิ่งหนีไป จำเลยพูดขึ้นว่า เอาเลยพวกไอ้ตัวนี้แหละแล้วจำเลยกับพวกประมาณ 10 คนก็วิ่งไล่ตามผู้ตายไปโดยพวกของจำเลยคนหนึ่งถือมีดปาดตาลยาวทั้งด้ามประมาณ 30 เซนติเมตรไปด้วย 1 เล่ม เมื่อจำเลยกับพวกวิ่งไล่ทันจำเลยกระโดดเตะผู้ตาย1 ที พวกของจำเลยก็เข้ารุมชกต่อยและใช้มีดปาดตาลแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย เมื่อคำนึงถึงว่าจำเลยกับพวกซึ่งมีจำนวนมากและมีมีดปาดตาลเป็นอาวุธเข้ารุมทำร้ายผู้ตายซึ่งวิ่งไปเพียงคนเดียวและบาดแผลที่ผู้ตายถูกทำร้ายเป็นบาดแผลฉกรรจ์ที่บริเวณอวัยวะสำคัญแสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันฆ่าผู้ตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1729/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อาวุธปืนไม่มีสภาพใช้งานได้ ก็ยังถือเป็นอาวุธปืนตามกฎหมาย
ปืนของกลางแม้มีสภาพเก่า ลำกล้องมีสนิมขึ้นไม่สามารถใช้ยิงได้ และบางกระบอกไม่มีด้ามปืนก็ตาม ก็ถือเป็น "อาวุธปืน"ตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4(1)ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2501 มาตรา 3 ดังนั้น การที่จำเลยมีอาวุธปืนของกลางไว้ในความครอบครอง จึงมีความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1408/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกเคหสถานและข่มขู่ด้วยอาวุธ: ศาลลงโทษจำเลยฐานบุกรุกแม้โจทก์ไม่ได้ขอโทษฐานนี้
การที่จำเลยทั้งสองเข้าไปบ้านผู้เสียหายในเวลากลางคืนโดยจำเลยที่ 1 ถือพร้ายืนคุมเชิงอยู่ที่บันไดบ้าน และจำเลยที่ 2ใช้มีดกดคอและใช้ปืนจี้ศีรษะผู้เสียหายแล้วขู่ว่าจะยิงหากขัดขืนจะถือเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายยังไม่ได้ จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันควร ตามมาตรา 364 แม้โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามมาตราดังกล่าวมาด้วย แต่ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยทั้งสองเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร ดังนี้ ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 365 ประกอบมาตรา 364 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคห้าได้
of 42