พบผลลัพธ์ทั้งหมด 106 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 843/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินเป็นทางสาธารณะมีผลสละที่ดินเป็นสาธารณสมบัติ แม้ไม่ได้จดทะเบียน ก็ไม่มีสิทธิยึดถือเป็นของตน
การอุทิศที่ดินให้ใช้เป็นทางสาธารณะ ย่อมเป็นการสละที่ดินให้เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304กรณีเช่นนี้หาจำต้องจดทะเบียนอย่างการโอนให้แก่เอกชนไม่ การที่โจทก์ซื้อที่ดินรวมทั้งที่พิพาทซึ่งเจ้าของเดิมได้อุทิศให้เป็นทางสาธารณะแล้ว แม้ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินที่โจทก์ซื้อ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะยึดถือเอาที่พิพาทเป็นของตนได้(อ้างฎีกาที่ 506/2490 และ 640/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินเป็นทางสาธารณะโดยปริยาย สัญญาซื้อขายที่ดินสาธารณะเป็นโมฆะ
ประชาชนได้ใช้ที่พิพาทเป็นทางเข้าออกเป็นเวลาสิบ ๆ ปี ก่อนที่จำเลยจะรับโอนกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของ โดยไม่มีการสงวนสิทธิหวงห้ามใด ๆ เลย แม้จะไม่ได้ความว่าผู้ใดอุทิศที่ของตนให้เป็นทางสาธารณะโดยตรงหรือโดยพิธีการ ก็ต้องถือว่าเจ้าของที่ดินเดิมที่เส้นทางนี้ผ่านได้อุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้วจำเลยเพิ่งรับโอนที่พิพาทหลังจากที่เจ้าของเดิมได้อุทิศพิพาทไปแล้ว แม้ทางพิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือเอาเป็นของตนได้
จำเลยเอาที่พิพาทไปทำสัญญาจะซื้อจะขายให้โจทก์สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะจำเลยต้องคืนเงินค่าที่ดินบางส่วนที่รับไปให้แก่โจทก์ และจะเรียกร้องให้โจทก์ปฏิบัติมาตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งเป็นโมฆะหาได้ไม่
จำเลยเอาที่พิพาทไปทำสัญญาจะซื้อจะขายให้โจทก์สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะจำเลยต้องคืนเงินค่าที่ดินบางส่วนที่รับไปให้แก่โจทก์ และจะเรียกร้องให้โจทก์ปฏิบัติมาตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งเป็นโมฆะหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2641/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินให้ศาลเจ้าต้องจดทะเบียนโอน มิเช่นนั้นศาลเจ้าไม่อยู่ในบังคับกฎหมาย และผู้ว่าฯ ไม่มีอำนาจแต่งตั้งผู้จัดการ
กฎเสนาบดีว่าด้วยที่กุศลสถานชนิดศาลเจ้า ลงวันที่ 15 มีนาคม 2463 ใช้แต่เฉพาะกับศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ในที่ดินซึ่งรัฐบาลเป็นเจ้าของหรือเป็นผู้ปกปักรักษาเท่านั้น ผู้ใดจะอุทิศที่ดินของตนที่มีศาลเจ้าตั้งอยู่แล้วให้เป็นสมบัติของศาลเจ้าโดยสิทธิ์ขาดต้องยื่นเรื่องราวเป็น ลายลักษณ์อักษรพร้อมทั้งหน้าโฉนด อ. ทำหนังสือยกที่ดินของตนที่มีศาลเจ้าตั้งอยู่แล้วให้แก่กรุงเทพมหานคร แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนโฉนดให้แก่กัน การอุทิศที่ดินของ อ. จึงยังไม่มีผลให้ตกเป็นสมบัติสำหรับศาลเจ้าโดยสิทธิ์ขาด และที่ดินของ อ. ยังไม่ตกมาอยู่ในความปกครองรักษาของรัฐบาล ศาลเจ้านี้จึงไม่อยู่ใสบังคับแห่งกฎเสนาบดีดังกล่าว ดังนั้นการตั้งและถอนผู้จัดการปกครองศาลเจ้าและผู้ตรวจตราสอดส่องที่บัญญัติไว้จึงนำมาใช้บังคับในเรื่องนี้ไม่ได้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไม่มีอำนาจตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการปกครอง และไม่มีอำนาจตั้ง อ. เป็นผู้ตรวจตราสอดส่องศาลเจ้าดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง (อ้างฎีกาที่ 310/2483)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2641/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจผู้จัดการศาลเจ้าและการอุทิศที่ดิน: ศาลเจ้าไม่อยู่ในบังคับกฎเสนาบดีหากที่ดินยังไม่ได้ตกเป็นของรัฐ
กฎเสนาบดีว่าด้วยกุศลสถานชนิดศาลเจ้า ลงวันที่ 15 มีนาคม 2463 ใช้แต่เฉพาะกับศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ในที่ดินซึ่งรัฐบาลเป็นเจ้าของหรือเป็นผู้ปกปักรักษาเท่านั้น ผู้ใดจะอุทิศที่ดินของตนที่มีศาลเจ้าตั้งอยู่แล้วให้เป็นสมบัติของศาลเจ้าโดนสิทธิ์ขาดต้องยื่นเรื่องราวเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมทั้งหน้าโฉนดอ. ทำหนังสือยกที่ดินของตนที่มีศาลเจ้าตั้งอยู่แล้วให้แก่กรุงเทพมหานคร แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนโฉนดให้แก่กัน การอุทิศที่ดินของ อ. จึงยังไม่มีผลให้ตกเป็นสมบัติสำหรับศาลเจ้าโดยสิทธิ์ขาด และที่ดินของ อ. ยังไม่ตกมาอยู่ในความปกครองรักษาของรัฐบาลศาลเจ้านี้จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งกฏเสนาบดีดังกล่าวดังนั้นการตั้งและถอนผู้จัดการปกครองศาลเจ้าและผู้ตรวจตราสอดส่องที่บัญญัติไว้จึงนำมาใช้บังคับในเรื่องนี้ไม่ได้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไม่มีอำนาจตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการปกครองและไม่มีอำนาจตั้ง อ. เป็นผู้ตรวจสอดส่องศาลเจ้าดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง (อ้างฎีกาที่ 310/2483)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596-2597/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินโดยปริยายเป็นทางสาธารณะ และสิทธิการใช้ประโยชน์ในสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
แม้ถนนจะอยู่ในที่ดินตามโฉนดของโจทก์ แต่การที่โจทก์ยอมให้ทางอำเภอนำดินลูกรังมาถมขยายจากสภาพคันกั้นน้ำให้เป็นถนนกว้างถึง 6 เมตร กับยอมให้ราษฎรและยานพาหนะใช้เป็นทางสัญจรไปมาเป็นเวลากว่าสิบปี ดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้อุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว โดยไม่ต้องทำเป็นหนังสือหรือบอกกล่าวอุทิศ หรือมีการจดทะเบียนแสดงว่าเป็นทางหลวงแต่ประการใด
ที่ดินโจทก์มีเขตจดถนนสาธารณะ ถัดจากถนนจึงเป็นลำคลองสาธารณะ การที่จำเลยคนหนึ่งจอดแพในลำคลองและจำเลยอีกคนหนึ่งปลูกบ้านอยู่ในที่ชายตลิ่งของลำคลองหน้าที่ดินของโจทก์ จะถือว่าแพและบ้านของจำเลยบังหน้าที่ดินของโจทก์ไม่ได้ ทั้งเมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์เคยใช้ประโยชน์อยู่ในที่ดินที่จำเลยคนหลังปลูกบ้าน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเป็นพิเศษ ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยย้ายแพและรื้อเรือนออกไปได้
ที่ดินโจทก์มีเขตจดถนนสาธารณะ ถัดจากถนนจึงเป็นลำคลองสาธารณะ การที่จำเลยคนหนึ่งจอดแพในลำคลองและจำเลยอีกคนหนึ่งปลูกบ้านอยู่ในที่ชายตลิ่งของลำคลองหน้าที่ดินของโจทก์ จะถือว่าแพและบ้านของจำเลยบังหน้าที่ดินของโจทก์ไม่ได้ ทั้งเมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์เคยใช้ประโยชน์อยู่ในที่ดินที่จำเลยคนหลังปลูกบ้าน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเป็นพิเศษ ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยย้ายแพและรื้อเรือนออกไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596-2597/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินโดยปริยายเป็นทางสาธารณะ และสิทธิของเจ้าของที่ดินเมื่อมีการใช้ประโยชน์ในคลองสาธารณะ
แม้ถนนจะอยู่ในที่ดินตามโฉนดของโจทก์ แต่การที่โจทก์ยอมให้ทางอำเภอนำดินลูกรังมาถมขยายจากสภาพคันกั้นน้ำให้เป็นถนนกว้างถึง 6 เมตร กับยอมให้ราษฎรและยานพาหนะใช้เป็นทางสัญจรไปมาเป็นเวลากว่าสิบปี ดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้อุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว โดยไม่ต้องทำเป็นหนังสือหรือบอกกล่าวอุทิศ หรือมีการจดทะเบียนแสดงว่าเป็นทางหลวงแต่ประการใด
ที่ดินโจทก์มีเขตจดถนนสาธารณะ ถัดจากถนนจึงเป็นลำคลองสาธารณะ การที่จำเลยคนหนึ่งจอดแพในลำคลอง และจำเลยอีกคนหนึ่งปลูกบ้านอยู่ในที่ชายตลิ่งของลำคลองหน้าที่ดินของโจทก์ จะถือว่าแพและบ้านของจำเลยบังหน้าที่ดินของโจทก์ไม่ได้ ทั้งเมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์เคยใช้ประโยชน์อยู่ในที่ดินที่จำเลยคนหลังปลูกบ้าน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเป็นพิเศษ ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยย้ายแพและรื้อเรือนออกไปได้
ที่ดินโจทก์มีเขตจดถนนสาธารณะ ถัดจากถนนจึงเป็นลำคลองสาธารณะ การที่จำเลยคนหนึ่งจอดแพในลำคลอง และจำเลยอีกคนหนึ่งปลูกบ้านอยู่ในที่ชายตลิ่งของลำคลองหน้าที่ดินของโจทก์ จะถือว่าแพและบ้านของจำเลยบังหน้าที่ดินของโจทก์ไม่ได้ ทั้งเมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์เคยใช้ประโยชน์อยู่ในที่ดินที่จำเลยคนหลังปลูกบ้าน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเป็นพิเศษ ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยย้ายแพและรื้อเรือนออกไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินเป็นทางสาธารณะ และสิทธิการใช้ทางของเจ้าของที่ดินอื่น การละเมิดสิทธิในการใช้ทาง
จำเลยได้อุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้ว การอุทิศที่ให้เป็นทางสาธารณะย่อมสมบูรณ์แม้จะมิได้จดทะเบียน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 506/2490) การที่จำเลยปักเสาลงในที่พิพาทเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งมีที่ดินอยู่ในซอยตากสิน 8 ไม่อาจใช้ซอยดังกล่าวได้เหมือนเดิม ทำให้โจทก์เสียหายเป็นพิเศษกว่าคนอื่น ๆ เป็นการละเมิดโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลสั่งให้จำเลยระงับความเสียหายได้(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1138-1139/2501)
โจทก์บรรยายฟ้องว่าซอยตากสิน 8 มีมาประมาณ 20 ปี โดยเจ้าของที่ดินแต่ละรายสละที่ดินของตนรวมทั้งจำเลยด้วยเพื่อเป็นทางสำหรับให้ประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์และ บริวารใช้สอยซอยตากสิน 8 ผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะโดยผ่านที่ดินจำเลยเกินกว่า 10 ปีแล้วซอยตากสิน 8 จึงเป็นทางภารจำยอม จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้มีทางอยู่เลยจำเลยและ อ. เพิ่งทำเป็นถนนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2502 ดังนี้จำเลยมิได้หลงผิดต่อสู้ว่าทางพิพาทมิได้ตกอยู่ในภารจำยอมแต่อย่างใด และการที่ศาลฟังว่าจำเลยอุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้วไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นเพราะโจทก์ได้ บรรยายการอ้างถึงสิทธิของโจทก์ที่จะผ่านเข้าออกทางพิพาทนี้มาในฟ้องแล้ว เพียงแต่กล่าวอ้างเป็นทางภารจำยอมไปเท่านั้น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 217/2509)
โจทก์บรรยายฟ้องว่าซอยตากสิน 8 มีมาประมาณ 20 ปี โดยเจ้าของที่ดินแต่ละรายสละที่ดินของตนรวมทั้งจำเลยด้วยเพื่อเป็นทางสำหรับให้ประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์และ บริวารใช้สอยซอยตากสิน 8 ผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะโดยผ่านที่ดินจำเลยเกินกว่า 10 ปีแล้วซอยตากสิน 8 จึงเป็นทางภารจำยอม จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้มีทางอยู่เลยจำเลยและ อ. เพิ่งทำเป็นถนนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2502 ดังนี้จำเลยมิได้หลงผิดต่อสู้ว่าทางพิพาทมิได้ตกอยู่ในภารจำยอมแต่อย่างใด และการที่ศาลฟังว่าจำเลยอุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้วไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นเพราะโจทก์ได้ บรรยายการอ้างถึงสิทธิของโจทก์ที่จะผ่านเข้าออกทางพิพาทนี้มาในฟ้องแล้ว เพียงแต่กล่าวอ้างเป็นทางภารจำยอมไปเท่านั้น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 217/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินเป็นทางสาธารณะ และการละเมิดสิทธิการใช้ทางของผู้อื่น
จำเลยได้อุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้ว การอุทิศที่ให้เป็นทางสาธารณะย่อมสมบูรณ์ แม้จะมิได้จดทะเบียน(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 506/2490) การที่จำเลยปักเสาลงในที่พิพาทเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งมีที่ดินอยู่ในซอยตากสิน 8 ไม่อาจใช้ซอยดังกล่าวได้เหมือนเดิม ทำให้โจทก์เสียหายเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ เป็นการละเมิด โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลสั่งให้จำเลยระงับความเสียหายได้(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1138-1139/2501)
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ซอยตากสิน 8 มีมาประมาณ 20 ปีโดยเจ้าของที่ดินแต่ละรายสละที่ดินของตน รวมทั้งจำเลยด้วย เพื่อเป็นทางสำหรับให้ประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์และบริวารใช้สอยซอยตากสิน 8 ผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ โดยผ่านที่ดินจำเลยเกินกว่า 10 ปีแล้ว ซอยตากสิน 8 จึงเป็นทางภารจำยอม จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้มีทางอยู่เลยจำเลยและ อ. เพิ่งทำเป็นถนนขึ้นเมื่อ พ.ศ.2502 ดังนี้ จำเลยมิได้หลงผิดต่อสู้ว่าทางพิพาทมิได้ตกอยู่ในภารจำยอมแต่อย่างใดและการที่ศาลฟังว่าจำเลยอุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้ว ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นเพราะโจทก์ได้บรรยายกล่าวอ้างถึงสิทธิของโจทก์ที่จะผ่านเข้าออกทางพิพาทนี้มาในฟ้องแล้ว เพียงแต่กล่าวอ้างเป็นทางภารจำยอมไปเท่านั้น(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 217/2509)
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ซอยตากสิน 8 มีมาประมาณ 20 ปีโดยเจ้าของที่ดินแต่ละรายสละที่ดินของตน รวมทั้งจำเลยด้วย เพื่อเป็นทางสำหรับให้ประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์และบริวารใช้สอยซอยตากสิน 8 ผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ โดยผ่านที่ดินจำเลยเกินกว่า 10 ปีแล้ว ซอยตากสิน 8 จึงเป็นทางภารจำยอม จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้มีทางอยู่เลยจำเลยและ อ. เพิ่งทำเป็นถนนขึ้นเมื่อ พ.ศ.2502 ดังนี้ จำเลยมิได้หลงผิดต่อสู้ว่าทางพิพาทมิได้ตกอยู่ในภารจำยอมแต่อย่างใดและการที่ศาลฟังว่าจำเลยอุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้ว ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นเพราะโจทก์ได้บรรยายกล่าวอ้างถึงสิทธิของโจทก์ที่จะผ่านเข้าออกทางพิพาทนี้มาในฟ้องแล้ว เพียงแต่กล่าวอ้างเป็นทางภารจำยอมไปเท่านั้น(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 217/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1656/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินให้วัด และการสละสิทธิในที่ดิน ทำให้ไม่เกิดการรุกล้ำ
โจทก์ฟ้องว่า วัดจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้รุกล้ำเข้าไปปลูกสร้างวัดและกำแพงเขตของวัดจำเลยที่ 1 ในที่ดินมีโฉนดของโจทก์กับญาติโดยไม่สุจริต ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยกับบริวารให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและคืนที่ดินให้โจทก์ ทางพิจารณาฟังได้ว่า โจทก์ได้อุทิศที่พิพาทให้แก่วัดจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ก่อนวัดจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ลงมือสร้างวัดจำเลยที่ 1 ขึ้นใหม่ดังนี้ กรณีไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ดังฎีกาของโจทก์ และเมื่อวัดจำเลยที่ 1 วางศิลาฤกษ์ สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ อาคารถาวร โจทก์ทราบและไม่คัดค้าน แสดงว่าโจทก์ยินยอมให้วัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 กระทำเช่นนั้น ฟังได้ว่าโจทก์ได้สละที่พิพาทให้แก่วัดจำเลยที่ 1 แล้ว ยังฟังไม่ได้ว่าวัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้รุกล้ำเข้าไปปลูกสร้างวัดและกำแพงเขตวัดจำเลยที่ 1 ในที่ดินของโจทก์กับญาติโดยไม่สุจริต รูปคดีกลับเชื่อว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้องจำเลยโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1656/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินให้วัดและการสละสิทธิในที่ดินโดยปริยาย
โจทก์ฟ้องว่า วัดจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้รุกล้ำเข้าไปปลูกสร้างวัดและกำแพงเขตของวัดจำเลยที่ 1 ในที่ดินมีโฉนดของโจทก์กับญาติโดยไม่สุจริต ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยกับบริวารให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและคืนที่ดินให้โจทก์ ทางพิจารณาฟังได้ว่าโจทก์ได้อุทิศที่พิพาทให้แก่วัดจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ก่อนวัดจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ลงมือสร้างวัดจำเลยที่ 1 ขึ้นใหม่ดังนี้ กรณีไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 525 ดังฎีกาของโจทก์ และเมื่อวัดจำเลยที่ 1 วางศิลาฤกษ์ สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญอาคารถาวรโจทก์ทราบและไม่คัดค้าน แสดงว่าโจทก์ยินยอมให้วัดจำเลยที่ 1 จำเลย ที่ 2 กระทำเช่นนั้น ฟังได้ว่าโจทก์ได้สละที่พิพาทให้แก่วัดจำเลยที่ 1 แล้ว ยังฟังไม่ได้ว่าวัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้รุกล้ำเข้าไปปลูกสร้างวัดและกำแพงเขตวัดจำเลยที่ 1 ในที่ดินของโจทก์กับญาติโดยไม่สุจริต รูปคดีกลับเชื่อว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้องจำเลยโดยไม่สุจริต