พบผลลัพธ์ทั้งหมด 199 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเช่าที่ดินทำนา: ต้องรอผลการวินิจฉัยของ คชก. ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการเช่าทำนาในที่ดินพิพาทเป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปหรือไม่ จึงเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทที่การเช่าที่ดินเพื่อการนั้นมีการควบคุมตาม พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ คชก. ตำบลจะเป็นผู้วินิจฉัยตามมาตรา 13 (2) แห่งพ.ร.บ. ดังกล่าว และการเสนอคดีต่อศาลเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องนี้ พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นขั้นตอนแล้วตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง และมาตรา 57 วรรคหนึ่ง ซึ่งก็มีการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวในกรณีนี้ โดยเมื่อ คชก. ตำบลวินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปแล้ว โจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อ คชก. จังหวัด ซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินทำนาต่อไป และโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดต่อศาลโดยการฟ้อง คชก. จังหวัดต่อศาลแล้ว แต่ก่อนคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดประการใด โจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อการดำเนินการตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 ยังไม่เสร็จสิ้น โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้หรือฎีกาขึ้นมาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเช่าที่ดินเกษตรกรรม: ต้องรอผลการพิจารณาของ คชก. ให้เสร็จสิ้นก่อน
กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการเช่าทำนาในที่ดินพิพาทเป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปหรือไม่ จึงเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทที่การเช่าที่ดินเพื่อการนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ คชก.ตำบลจะเป็นผู้วินิจฉัยตามมาตรา 13(2)แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และการเสนอคดีต่อศาลเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องนี้ พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นขั้นตอนแล้วตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง และมาตรา 57 วรรคหนึ่ง ซึ่งก็มีการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวในกรณีนี้ โดยเมื่อ คชก.ตำบลวินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปแล้วโจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อ คชก.จังหวัด ซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินทำนาต่อไป และโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดต่อศาลโดยการฟ้อง คชก.จังหวัดต่อศาลแล้วแต่ก่อนคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดประการใด โจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ยังไม่เสร็จสิ้นโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้หรือฎีกาขึ้นมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเช่าที่ดินทำนาต้องรอผลการพิจารณาของ คชก. หากยังไม่สิ้นสุด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการเช่าทำนาในที่ดินพิพาทเป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปหรือไม่จึงเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทที่การเช่าที่ดินเพื่อการนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคชก.ตำบลจะเป็นผู้วินิจฉัยตามมาตรา13(2)แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวและการเสนอคดีต่อศาลเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องนี้พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นขั้นตอนแล้วตามมาตรา56วรรคหนึ่งและมาตรา57วรรคหนึ่งซึ่งก็มีการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวในกรณีนี้โดยเมื่อคชก.ตำบลวินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปแล้วโจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อคชก.จังหวัดซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินทำนาต่อไปและโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดต่อศาลโดยการฟ้องคชก.จังหวัดต่อศาลแล้วแต่ก่อนคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดประการใดโจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ยังไม่เสร็จสิ้นโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้หรือฎีกาขึ้นมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2403/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเช่าที่ดิน: ต้องรอผลการพิจารณาของ คชก. ให้เสร็จสิ้นก่อน
กรณีพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับการเช่าทำนาในที่ดินพิพาทเป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปหรือไม่จึงเป็นข้อพิพาทอันเกิดจากการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทที่การเช่าที่ดินเพื่อการนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคชก.ตำบลจะเป็นผู้วินิจฉัยตามมาตรา13(2)แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวและการเสนอคดีต่อศาลเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องนี้พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นขั้นตอนแล้วตามมาตรา56วรรคหนึ่งและมาตรา57วรรคหนึ่งซึ่งก็มีการดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวในกรณีนี้โดยเมื่อคชก.ตำบลวินิจฉัยให้จำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินพิพาททำนาต่อไปแล้วโจทก์ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อคชก.จังหวัดซึ่งวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเช่าที่ดินทำนาต่อไปและโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดต่อศาลโดยการฟ้องคชก.จังหวัดต่อศาลแล้วแต่ก่อนคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดประการใดโจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524ยังไม่เสร็จสิ้นโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้หรือฎีกาขึ้นมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1339/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อนาของผู้เช่าตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ แม้มีการฟ้องร้องก่อนหน้า ไม่ถือเป็นการฟ้องซ้ำ หากเงื่อนไขครบถ้วน
เจ้าของที่ดินผู้ให้เช่านาจะขายนาไปต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 53และมาตรา 54 กำหนดไว้ หากมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นจะทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความยกเว้นบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวหาได้ไม่ ดังนั้นถ้าผู้ให้เช่านาขายนาไปให้จำเลยโดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 54 โจทก์ผู้เช่านาย่อมมีสิทธิซื้อนาจากจำเลยได้ สิทธิของโจทก์ตามมาตรา 54 ดังกล่าว หาได้ระงับสิ้นไปโดยผลของสัญญาประนี-ประนอมยอมความไม่
แม้ประธาน คชก.ตำบลจะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้จำเลยทราบพร้อมทั้งระบุว่าจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัดได้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ คชก.ตำบลมีคำวินิจฉัยซึ่งเป็นการแจ้งระยะเวลายื่นอุทธรณ์คลาดเคลื่อนไปจากที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 56 กำหนดไว้ก็ตาม จำเลยก็จะปฏิเสธไม่ยอมรับรู้ว่ากฎหมายบัญญัติให้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด60 วัน นับแต่วันที่ คชก.ตำบลได้มีคำวินิจฉัยหาได้ไม่ เมื่อจำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลย่อมเป็นที่สุด และเมื่อไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยอันเป็นที่สุดของ คชก.ตำบล โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยขอให้ขายที่นาพิพาทตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลได้
ปัญหาว่าโจทก์ฟ้องซ้ำหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทแต่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ คดีก่อนโจทก์ฟ้อง ส. กับจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายนาพิพาท ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ในฐานะผู้เช่ามีสิทธิซื้อนาจากจำเลยตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้น แต่ทั้งนี้โจทก์จะต้องใช้สิทธิซื้อนาดังกล่าวก่อน เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยในฐานะผู้รับโอนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา54 โจทก์จะขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายหาได้ไม่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ดังนั้น ในคดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายนั้นกำหนด จึงยังไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำฟ้องของโจทก์ แต่ฟ้องโจทก์คดีนี้ โจทก์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดครบถ้วนแล้วโจทก์จึงฟ้องจำเลยผู้รับโอนนาพิพาทขอให้จดทะเบียนขายนาพิพาทให้โจทก์เช่นนี้จึงไม่ใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
แม้ประธาน คชก.ตำบลจะมีหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยให้จำเลยทราบพร้อมทั้งระบุว่าจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัดได้ภายใน 90 วันนับแต่วันที่ คชก.ตำบลมีคำวินิจฉัยซึ่งเป็นการแจ้งระยะเวลายื่นอุทธรณ์คลาดเคลื่อนไปจากที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 56 กำหนดไว้ก็ตาม จำเลยก็จะปฏิเสธไม่ยอมรับรู้ว่ากฎหมายบัญญัติให้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด60 วัน นับแต่วันที่ คชก.ตำบลได้มีคำวินิจฉัยหาได้ไม่ เมื่อจำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลย่อมเป็นที่สุด และเมื่อไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยอันเป็นที่สุดของ คชก.ตำบล โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยขอให้ขายที่นาพิพาทตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลได้
ปัญหาว่าโจทก์ฟ้องซ้ำหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทแต่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ คดีก่อนโจทก์ฟ้อง ส. กับจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายนาพิพาท ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ในฐานะผู้เช่ามีสิทธิซื้อนาจากจำเลยตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้น แต่ทั้งนี้โจทก์จะต้องใช้สิทธิซื้อนาดังกล่าวก่อน เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิซื้อนาพิพาทจากจำเลยในฐานะผู้รับโอนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา54 โจทก์จะขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายหาได้ไม่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ดังนั้น ในคดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายนั้นกำหนด จึงยังไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำฟ้องของโจทก์ แต่ฟ้องโจทก์คดีนี้ โจทก์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดครบถ้วนแล้วโจทก์จึงฟ้องจำเลยผู้รับโอนนาพิพาทขอให้จดทะเบียนขายนาพิพาทให้โจทก์เช่นนี้จึงไม่ใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีเช่าที่ดินต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ ก่อน จึงจะชอบด้วยกฎหมาย
การที่ผู้เช่านาจะฟ้องคดีขอให้ผู้รับโอนโอนนาที่เช่าให้แก่ผู้เช่าตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 โดยผู้เช่าอ้างว่าผู้ให้เช่าขายนาที่เช่าไปโดยไม่แจ้งให้ผู้เช่าทราบนั้น ผู้เช่าจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายเสียก่อน กล่าวคือ ต้องมีการร้องขอต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเพื่อวินิจฉัยเสียก่อน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผู้เช่าจะต้องปฏิบัติตามมาตรา 54 ของ พ.ร.บ.ดังกล่าว หากผู้เช่าไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล ก็ต้องอุทธรณ์ต่อไปยังคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดเพื่อวินิจฉัย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งที่ผู้เช่าจะต้องปฏิบัติตามมาตรา 56 ของ พ.ร.บ.ดังกล่าว เมื่อคณะ-กรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดวินิจฉัยแล้วยังไม่เป็นที่พอใจอยู่อีก ผู้เช่าจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลหรือฟ้องศาลได้ตามมาตรา 57 ของ พ.ร.บ.ดังกล่าว แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้อ้างสิทธิตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวโดยมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังได้กล่าวข้างต้น จึงเป็นการฟ้องคดีโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฎีกาโต้แย้งเฉพาะประเด็นเรื่องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524หรือไม่เท่านั้น แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลสำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายซึ่งโจทก์มิได้ฎีกามาด้วย จึงเป็นการเสียค่าขึ้นศาลเกินมาไม่ถูกต้อง
โจทก์ฎีกาโต้แย้งเฉพาะประเด็นเรื่องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524หรือไม่เท่านั้น แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลสำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายซึ่งโจทก์มิได้ฎีกามาด้วย จึงเป็นการเสียค่าขึ้นศาลเกินมาไม่ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีเช่าที่ดิน ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ ก่อน หากไม่ปฏิบัติตามเป็นการฟ้องคดีไม่ชอบ
การที่ผู้เช่านาจะฟ้องคดีขอให้ผู้รับโอนโอนนาที่เช่าให้แก่ผู้เช่าตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524โดยผู้เช่าอ้างว่าผู้ให้เช่าขายนาที่เช่าไปโดยไม่แจ้งให้ผู้เช่าทราบนั้นผู้เช่าจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายเสียก่อนกล่าวคือต้องมีการร้องขอต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเพื่อวินิจฉัยเสียก่อนซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผู้เช่าจะต้องปฏิบัติตามมาตรา54ของพระราชบัญญัติดังกล่าวหากผู้เช่าไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลก็ต้องอุทธรณ์ต่อไปยังคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดเพื่อวินิจฉัยซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งที่ผู้เช่าจะต้องปฏิบัติตามมาตรา56ของพระราชบัญญัติดังกล่าวเมื่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดวินิจฉัยแล้วยังไม่เป็นที่พอใจอยู่อีกผู้เช่าจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลหรือฟ้องศาลได้ตามมาตรา57ของพระราชบัญญัติดังกล่าวแต่โจทก์ฟ้องคดีนี้อ้างสิทธิตามพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังได้กล่าวข้างต้นจึงเป็นการฟ้องคดีโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ฎีกาโต้แย้งเฉพาะประเด็นเรื่องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524หรือไม่เท่านั้นแต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลสำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายซึ่งโจทก์มิได้ฎีกามาด้วยจึงเป็นการเสียค่าขึ้นศาลเกินมาไม่ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 818/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าที่ดินเพื่อทำการเกษตร: การพิจารณาประเภทพืชไร่ตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 21 บัญญัติว่า "ทำนา" หมายความว่าการเพาะปลูกข้าวหรือพืชไร่ "พืชไร่" หมายความว่าพืชซึ่งต้องการน้ำน้อยและอายุสั้น หรือสามารถเก็บเกี่ยวครั้งแรกได้ภายในสิบสองเดือน เมื่อจำเลยเช่า ที่ดินทำสวนปลูกฝรั่ง พันธุ์เวียตนาม มะม่วง และมะพร้าวโดยส่วนใหญ่ ปลูกฝรั่ง พันธุ์เวียตนามซึ่งเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก ฉะนั้น แม้ฝรั่ง พันธุ์เวียตนามจะเก็บเกี่ยวผลครั้งแรกได้ภายใน 8 เดือน ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นพืชไร่ ส่วนมะม่วง มะพร้าว เป็นไม้ยืนต้น มีอายุยืนนานไม่เป็นพืชไร่เช่นกัน จึงไม่เป็นการเช่าที่ดินที่ได้รับ ความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2424
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 818/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าที่ดินทำสวนผลไม้ไม่เข้าข่ายการเช่านาตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524
จำเลยเช่าที่พิพาททำสวนปลูกฝรั่ง-พันธุ์เวียดนาม มะม่วงและมะพร้าวซึ่งล้วนแต่เป็นพืชต้องการน้ำมากและอายุยืนไม่ถือว่าเป็นพืชไร่ ตามนัยแห่งมาตรา 21พระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 กรณีมิใช่เป็นการเช่าที่ดินเพื่อทำนา จึงไม่สามารถอ้างอายุการเช่ามีกำหนดเวลา 6 ปี ตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวขึ้นต่อสู้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6953/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อคืนนาพิพาทตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ ศาลบังคับขายได้ตามคำวินิจฉัยอนุญาโตตุลาการ
การที่โจทก์ร้องขอซื้อนาพิพาทต่อ คชก. ตำบล และ คชก. ตำบลวินิจฉัยให้โจทก์ซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยทั้งสองตามราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยทั้งสองซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้นแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่ากันโดยมิได้กำหนดราคาให้ เป็นเรื่องโจทก์ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 54 วรรคสองแล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ยอมขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ตามคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลที่ถึงที่สุดแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเพื่อบังคับให้จำเลยทั้งสองขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ได้
คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลไม่ได้ระบุให้ซื้อนาพิพาทคืนได้ในราคาเท่าใด จึงเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องฟังจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจะให้โจทก์ซื้อในราคาใดเท่านั้น จำเลยทั้งสองจะนำเรื่องคำเสนอคำสนองมาใช้ในกรณีนี้โดยกำหนดระยะเวลาให้โจทก์สนองตอบว่าจะซื้อนาพิพาทตามราคาที่จำเลยทั้งสองกำหนดไว้มิได้เพราะจะขัดกับคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบล ซึ่งถือเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้วว่าให้โจทก์ซื้อนาพิพาทได้
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองโอนขายนาพิพาทแก่โจทก์ตามจำนวนเนื้อที่ตามคำขอท้ายฟ้องเป็นการพิพากษาไม่เกินคำขอ ส่วนการกำหนดราคานาพิพาทเป็นเรื่องโจทก์กะประมาณราคาของนาพิพาทในราคา 1,075,831 บาทเพื่อคำนวณเสียค่าขึ้นศาล การที่จำเลยทั้งสองนำสืบได้ว่าซื้อนาพิพาทมาในราคา1,175,831 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่า จำเลยทั้งสองมีสิทธิได้รับตามมาตรา 54แห่ง พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 คำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองจึงไม่เกินคำขอ
คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลไม่ได้ระบุให้ซื้อนาพิพาทคืนได้ในราคาเท่าใด จึงเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องฟังจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจะให้โจทก์ซื้อในราคาใดเท่านั้น จำเลยทั้งสองจะนำเรื่องคำเสนอคำสนองมาใช้ในกรณีนี้โดยกำหนดระยะเวลาให้โจทก์สนองตอบว่าจะซื้อนาพิพาทตามราคาที่จำเลยทั้งสองกำหนดไว้มิได้เพราะจะขัดกับคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบล ซึ่งถือเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการแล้วว่าให้โจทก์ซื้อนาพิพาทได้
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองโอนขายนาพิพาทแก่โจทก์ตามจำนวนเนื้อที่ตามคำขอท้ายฟ้องเป็นการพิพากษาไม่เกินคำขอ ส่วนการกำหนดราคานาพิพาทเป็นเรื่องโจทก์กะประมาณราคาของนาพิพาทในราคา 1,075,831 บาทเพื่อคำนวณเสียค่าขึ้นศาล การที่จำเลยทั้งสองนำสืบได้ว่าซื้อนาพิพาทมาในราคา1,175,831 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่า จำเลยทั้งสองมีสิทธิได้รับตามมาตรา 54แห่ง พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 คำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองจึงไม่เกินคำขอ