พบผลลัพธ์ทั้งหมด 516 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4968-5050/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตกเป็นอันพ้นวิสัยจากเหตุสุดวิสัยทางการเงิน กรณีจำกัดสิทธิขายหุ้น
โจทก์ทั้งแปดสิบสามตกลงจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของจำเลยที่ 1โดยมีข้อจำกัดสิทธิเกี่ยวกับการจำหน่ายหุ้นและยอมให้จำเลยที่ 1 นำหุ้นที่ยังไม่มีสิทธิจำหน่ายออกขายแก่บุคคลอื่น หากโจทก์ทั้งแปดสิบสามต้องพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ก่อนครบกำหนดสามปีนับแต่วันปิดการจองซื้อ ซึ่งโจทก์ดังกล่าวจะได้รับเงินค่าหุ้นคืนเท่ากับราคาจองซื้อพร้อมดอกเบี้ยภายใน 1 เดือน นับแต่พ้นสภาพการเป็นพนักงาน เงื่อนไขดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 มีภาระหรือมีหน้าที่ที่จะต้องนำหุ้นดังกล่าวออกขายแก่บุคคลอื่นด้วย เมื่อกระทรวงการคลังมีคำสั่งให้ระงับการดำเนินกิจการของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินหรือค้าหลักทรัพย์ได้ตามปกติ ถือได้ว่าภายหลังที่ได้ก่อหนี้ขึ้นแล้ว จำเลยที่ 1 กลายเป็นคนไม่สามารถชำระหนี้ได้อันเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้การชำระหนี้ตกเป็นอันพ้นวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 วรรคสอง จำเลยที่ 1จึงหลุดพ้นจากการชำระหนี้และถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ผิดข้อตกลงหรือยกเลิกเงื่อนไขหรือข้อตกลงที่ระบุในบันทึกการเสนอขายหุ้นโดยพลการจำเลยทั้งสองไม่ต้องชำระเงินค่าหุ้น ค่าเสียหายและดอกเบี้ยแก่โจทก์ดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4639/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพลาดในการจดวันครบกำหนดอุทธรณ์ของเสมียนทนาย ไม่ถือเป็นเหตุสุดวิสัย ขยายเวลาอุทธรณ์ไม่ได้
เสมียนทนายจำเลยจดและจำวันครบกำหนดอุทธรณ์ที่ได้รับอนุญาตให้ขยายเวลาผิดพลาดไป เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่รอบคอบ เป็นการประมาทเลินเล่อ ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยอันจะทำให้จำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องขอขยายเวลาอุทธรณ์ได้เมื่อสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 23 ประกอบด้วยป.วิ.อ.มาตรา 15
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งแรกออกไปจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 2 ภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตขยายให้สิ้นไปแล้ว โดยไม่ปรากฏมีพฤติการณ์พิเศษ กรณีไม่มีเหตุที่จะขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้จำเลยได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งแรกออกไปจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 2 ภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตขยายให้สิ้นไปแล้ว โดยไม่ปรากฏมีพฤติการณ์พิเศษ กรณีไม่มีเหตุที่จะขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4639/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพลาดของเสมียนทนายไม่ใช่เหตุสุดวิสัยในการขยายเวลาอุทธรณ์ แม้จะได้รับอนุญาตขยายเวลาไปแล้ว
เสมียนทนายจำเลยจดและจำวันครบกำหนดอุทธรณ์ที่ได้รับอนุญาตให้ขยายเวลาผิดพลาดไป เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่รอบคอบเป็นการประมาทเลินเล่อ ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยอันจะทำให้จำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องขอขยายเวลาอุทธรณ์ได้เมื่อสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งแรกออกไป จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 2 ภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตขยายให้สิ้นไปแล้ว โดยไม่ปรากฏมีพฤติการณ์พิเศษ กรณีไม่มีเหตุที่จะขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้จำเลยได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งแรกออกไป จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 2 ภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตขยายให้สิ้นไปแล้ว โดยไม่ปรากฏมีพฤติการณ์พิเศษ กรณีไม่มีเหตุที่จะขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2883/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาวางค่าธรรมเนียมศาล การไม่ถือเหตุผลเรื่องการขอยืมเงินเป็นเหตุสุดวิสัย
จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาแล้ว โดยอ้างเหตุผลว่าเพิ่งจะขอยืมเงินจากผู้อื่นได้เมื่อพ้นเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์และรับอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2883/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลเกินกำหนด และเหตุสุดวิสัยที่ไม่เพียงพอ
จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาแล้ว โดยอ้างเหตุผลว่าเพิ่งจะขอยืมเงินจากผู้อื่นได้ เมื่อพ้นเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์และรับอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2883/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลและการรับอุทธรณ์ หากพ้นกำหนดต้องมีเหตุสุดวิสัย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยเสียค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์เป็นเงินจำนวน 2,500 บาท นอกจากนี้ยกเว้นให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถาได้ โดยให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาชำระ ภายใน 30 วัน คือภายในวันที่ 25 กรกฎาคม 2540 แต่เมื่อครบกำหนด จำเลยไม่ได้วางค่าธรรมเนียมศาล จำเลยมายื่นคำร้องขอวางเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวในวันที่ 28 กรกฎาคม 2540 และตามเหตุผลในคำร้องดังกล่าวพอถือได้ว่าเป็นคำร้องขอขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยจะต้องยื่นคำร้องขอขยาย ระยะเวลาการวางค่าธรรมเนียมศาลภายในกำหนดเวลาคือวันที่ 25 กรกฎาคม2540 หากพ้นกำหนดจำเลยจะสามารถยื่นคำร้องได้ต่อเมื่อมีเหตุสุดวิสัย ฉะนั้น เมื่อจำเลยยื่นคำร้องนี้เมื่อพ้นกำหนดเวลาแล้ว และเหตุผลตาม คำร้องที่อ้างว่าเพิ่งจะขอยืมเงินจากผู้อื่นได้เมื่อพ้นเวลาที่ศาลชั้นต้น กำหนดแล้วถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์และรับอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาใหม่ต้องยื่นภายในกำหนด หากพ้นกำหนดต้องแสดงเหตุสุดวิสัย มิเช่นนั้นคำร้องจะไม่รับ
จำเลยทราบว่าถูกฟ้องเมื่อมีการส่งคำบังคับให้แก่จำเลย จึงต้องถือว่ามีการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยแล้ว หากจำเลยประสงค์จะให้ศาลพิจารณาใหม่จะต้องยื่นคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2539 จำเลยต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2539 แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่3 มิถุนายน 2541 ล่วงพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ในกรณีเช่นนี้จำเลยจะต้องแสดงให้เห็นว่ามีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ทำให้จำเลยไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาดังกล่าวจำเลยอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง แต่ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ผู้เช่าซื้อได้นำรถยนต์ที่เช่าซื้อส่งมอบคืนให้แก่โจทก์ก็ดี และผู้เช่าซื้อได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนแล้วก็ดี หาใช่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ทำให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2539 จำเลยต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2539 แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่3 มิถุนายน 2541 ล่วงพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ในกรณีเช่นนี้จำเลยจะต้องแสดงให้เห็นว่ามีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ทำให้จำเลยไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาดังกล่าวจำเลยอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง แต่ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ผู้เช่าซื้อได้นำรถยนต์ที่เช่าซื้อส่งมอบคืนให้แก่โจทก์ก็ดี และผู้เช่าซื้อได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนแล้วก็ดี หาใช่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ทำให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8823/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำขอพิจารณาใหม่ล่าช้า: เหตุสุดวิสัยและการพิสูจน์เหตุแห่งความล่าช้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำขอให้พิจารณาใหม่ นั้น มาตรา 208 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กำหนดให้ยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งแก่จำเลย ถ้าคู่ความที่ขาดนัดไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาดังกล่าวโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง แต่ในกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้าต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้นด้วย
คดีนี้ปรากฏตามสำนวนว่า พนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้จำเลยโดยวิธีปิดบังคับไว้ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้องตามคำสั่งศาลในวันที่ 15 กันยายน 2539 ซึ่งมีผลบังคับในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2539 จำเลยอ้างในคำร้องขอพิจารณาใหม่ว่า จำเลยและครอบครัวได้เดินทางไปจัดการดูแลสวนส้มเขียวหวานของจำเลยที่อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานีและที่อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี จึงไม่มีใครอยู่ดูแลบ้านของจำเลย ทำให้พนักงานเดินหมายได้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ ณ ภูมิลำเนาของจำเลย จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่จำเลย เดินทางไปที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2540 ดังนี้ แม้ในคำร้องของจำเลยมิได้กล่าวถึงคำบังคับไว้โดยตรง แต่ก็พออนุมานได้ว่าจำเลยได้ทราบคำบังคับตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2540 อันเป็นวันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงแล้ว จึงเริ่มต้นนับกำหนด 15 วัน ตามบทบัญญัติข้างต้นได้ ถือว่าจำเลยได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้า และเหตุแห่งการล่าช้าชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 แล้ว ฉะนั้น ที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2540 หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่จำเลยอ้างในคำร้อง ก็ถือว่าจำเลยยื่นคำร้องดังกล่าวยังไม่ล่วงพ้นระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติบังคับไว้
คดีนี้ปรากฏตามสำนวนว่า พนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้จำเลยโดยวิธีปิดบังคับไว้ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้องตามคำสั่งศาลในวันที่ 15 กันยายน 2539 ซึ่งมีผลบังคับในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2539 จำเลยอ้างในคำร้องขอพิจารณาใหม่ว่า จำเลยและครอบครัวได้เดินทางไปจัดการดูแลสวนส้มเขียวหวานของจำเลยที่อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานีและที่อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี จึงไม่มีใครอยู่ดูแลบ้านของจำเลย ทำให้พนักงานเดินหมายได้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ ณ ภูมิลำเนาของจำเลย จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่จำเลย เดินทางไปที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2540 ดังนี้ แม้ในคำร้องของจำเลยมิได้กล่าวถึงคำบังคับไว้โดยตรง แต่ก็พออนุมานได้ว่าจำเลยได้ทราบคำบังคับตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2540 อันเป็นวันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงแล้ว จึงเริ่มต้นนับกำหนด 15 วัน ตามบทบัญญัติข้างต้นได้ ถือว่าจำเลยได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงกรณีที่ยื่นคำขอล่าช้า และเหตุแห่งการล่าช้าชอบด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 แล้ว ฉะนั้น ที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2540 หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่จำเลยอ้างในคำร้อง ก็ถือว่าจำเลยยื่นคำร้องดังกล่าวยังไม่ล่วงพ้นระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติบังคับไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 849/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาใหม่ต้องยื่นภายในกำหนด หากเกินกำหนด แม้มีเหตุสุดวิสัยก็ไม่อาจยื่นได้อีก
จำเลยอ้างว่าไม่อาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่การส่งคำบังคับมีผลโดยพฤติการณ์นอกเหนือ ไม่อาจบังคับได้ ดังนี้ จำเลยจะต้องยื่นคำขอให้พิจารณา ใหม่ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณา ใหม่เกินกำหนดดังกล่าว จึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้ การที่ จำเลยอ้างว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของ จำเลยโดยผิดหลงว่าจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เกินกำหนด แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องโดยวินิจฉัยว่าจำเลยยื่นคำร้อง ขอให้พิจารณาใหม่เกินกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด จำเลยก็ มิได้อุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นดังกล่าว คำสั่ง ศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเป็นอันถึงที่สุด และจำเลยยังอาจยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ได้ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดแต่จำเลยก็มิได้กระทำ การที่จำเลย มายื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อีกครั้งซึ่งเกินเวลาตาม ที่กฎหมายกำหนด ทั้งคำร้อง ขอให้พิจารณาใหม่นี้ก็มิใช่ คำร้อง ขอแก้ไขข้อผิดพลาดเกี่ยวกับวันเดือนปีตามที่จำเลยกล่าวอ้าง หรือเป็นส่วนหนึ่งของคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในครั้งแรกเพราะ เป็นคำร้อง ขอให้พิจารณาใหม่ที่จำเลยยื่นภายหลังจากศาลชั้นต้นมี คำสั่งให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยในครั้งแรกแล้ว จึงกระทำมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8411/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลาอุทธรณ์และการพิจารณาเหตุสุดวิสัย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการขยายเวลาชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2541 ต่อมาวันที่ 5 มิถุนายน 2541 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ครั้งที่หนึ่งออกไปอีก 30 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์จนถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2541 แต่จำเลยไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ในระยะเวลาดังกล่าว ครั้นในวันที่ 14 กรกฎาคม 2541 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่สอง แม้จะยื่นภายหลังจากล่วงพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตขยายให้แล้วก็ตาม แต่ตามคำร้องของจำเลยดังกล่าวได้แสดงเหตุว่า กรณีมีเหตุสุดวิสัยที่มิอาจยื่นคำร้องได้ทันภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีตามคำร้องเป็นเหตุสุดวิสัยอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2541 จึงเป็นการใช้อำนาจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 และเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งตามที่เห็นสมควร คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์จึงชอบแล้ว เมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์วันที่ 29 กรกฎาคม 2541 จึงยังไม่เกินกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ที่ศาลชั้นต้นขยายให้