พบผลลัพธ์ทั้งหมด 106 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 343/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนเชิด: ความรับผิดของโรงแรมต่อการยักยอกเช็คของลูกจ้าง
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างทำงานในโรงแรมที่จำเลยที่ 2 และที่ 7 เป็นหุ้นส่วน โรงแรมดังกล่าวมีบริการผู้มาพักโดยรับฝากเช็คจากผู้มาพักแล้วนำไปซื้อดราฟท์ส่งให้ผู้ทรงเช็คที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร ในการนี้ จำเลยที่ 2 ที่ 7 ยอมให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับฝากเช็คของผู้มาพักโดยออกใบรับเช็คให้ ตามพฤติการณ์ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 2 ที่ 7 เมื่อปรากฏว่าเช็คของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 รับฝากไว้เกิดสูญหายไป ทำให้โจทก์สูญเสียเงินตามเช็คเพราะธนาคารจ่ายเงินตามเช็คให้ผู้อื่นไป จำเลยที่ 2 ที่ 7 จะยกข้ออ้างว่า ตนให้อำนาจจำเลยที่ 1 รับฝากเช็คได้ไม่ถึงจำนวนเงินตามเช็คของโจทก์ขึ้นโต้เถียงกับโจทก์หาได้ไม่ จำเลยที่ 2 ที่ 7 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเท่ากับจำนวนเงินตามเช็คที่รับฝากไว้นั้นแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2196/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของโรงแรมต่อการสูญหายของทรัพย์สินของผู้พักอาศัย โดยมิได้อ้างว่าทรัพย์สินนั้นมีค่า
โจทก์เช่าห้องพักโรงแรมของจำเลย และพารถจักรยานยนต์ของโจทก์เข้าจอดในโรงแรมดังกล่าวด้วย ต่อมารถจักรยานยนต์คันดังกล่าวสูญหายไป จำเลยซึ่งเป็นเจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดใช้ราคารถจักรยานยนต์ดังกล่าวให้แก่โจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธเพียงว่า จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องชดใช้ราคารถ จำเลยมิได้ให้การถึงว่า รถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นของมีค่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 675วรรคสอง ซึ่งจำกัดความรับผิดไว้เพียงห้าร้อยบาท ข้อที่ว่ารถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นของมีค่าหรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัย
จำเลยให้การปฏิเสธเพียงว่า จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องชดใช้ราคารถ จำเลยมิได้ให้การถึงว่า รถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นของมีค่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 675วรรคสอง ซึ่งจำกัดความรับผิดไว้เพียงห้าร้อยบาท ข้อที่ว่ารถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นของมีค่าหรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของโรงแรมต่อการสูญหายของรถยนต์ และการคำนวณค่าสินไหมทดแทนที่เหมาะสม
โจทก์มาพักที่โรงแรมของจำเลยและจอดรถยนต์ไว้ในที่จอดรถของโรงแรมเมื่อรถยนต์นั้นหายไปจากที่จอดดังกล่าว จำเลยซึ่งเป็นเจ้าสำนักต้องรับผิดชอบ
การใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 675 ในส่วนที่เกี่ยวกับราคาทรัพย์สินย่อมต้องถือเอาราคาของทรัพย์สินนั้น ตามที่อาจซื้อขายกันได้ตามปกติในเวลาที่ทรัพย์สินนั้นสูญหาย ถ้าเจ้าของทรัพย์สินได้ชำระเงินไปเป็นจำนวนสูงกว่าราคาซื้อขายตามปกติ เพราะซื้อมาโดยการเช่าซื้อหรือซื้อด้วยเงินผ่อน ทำให้ผู้ให้เช่าซื้อหรือผู้ขายบวกดอกเบี้ยเข้าไว้ในราคาด้วยการเสียดอกเบี้ยนั้นต้องถือว่าเป็นภาระส่วนตัวเป็นพิเศษของผู้เช่าซื้อหรือผู้ซื้อเช่นเดียวกับกรณีที่กู้เงินผู้อื่นมาซื้อ เจ้าสำนักโรงแรมไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินส่วนที่เป็นดอกเบี้ย
การใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 675 ในส่วนที่เกี่ยวกับราคาทรัพย์สินย่อมต้องถือเอาราคาของทรัพย์สินนั้น ตามที่อาจซื้อขายกันได้ตามปกติในเวลาที่ทรัพย์สินนั้นสูญหาย ถ้าเจ้าของทรัพย์สินได้ชำระเงินไปเป็นจำนวนสูงกว่าราคาซื้อขายตามปกติ เพราะซื้อมาโดยการเช่าซื้อหรือซื้อด้วยเงินผ่อน ทำให้ผู้ให้เช่าซื้อหรือผู้ขายบวกดอกเบี้ยเข้าไว้ในราคาด้วยการเสียดอกเบี้ยนั้นต้องถือว่าเป็นภาระส่วนตัวเป็นพิเศษของผู้เช่าซื้อหรือผู้ซื้อเช่นเดียวกับกรณีที่กู้เงินผู้อื่นมาซื้อ เจ้าสำนักโรงแรมไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินส่วนที่เป็นดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 206-207/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กล้องถ่ายภาพไม่ใช่ของมีค่าพิเศษ โรงแรมไม่ต้องรับผิดเกินค่าเสียหายที่แท้จริง
กล้องถ่ายภาพยนตร์และกล้องถ่ายภาพนิ่งเป็นเพียงเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับผู้ถ่ายภาพยนตร์ หรือผู้ถ่ายภาพใช้ในการบันทึกภาพเป็นภาพยนตร์ หรือถ่ายภาพนิ่งเท่านั้นเองหาเป็นของมีคุณค่าเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากการเป็นของใช้ตามธรรมดาไม่ ถึงแม้ว่าราคาของทรัพย์จะค่อนข้างสูงก็ตาม ก็ไม่ใช่เป็นของมีค่าตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 675 วรรคสอง
คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยตลอดทั้งสำนวนแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์เสียหายเป็นเงิน 27,650 บาท จำเลยฎีกาว่าค่าเสียหายดังกล่าวนั้นเกินกว่าค่าเสียหายที่แท้จริง โดยจะให้ศาลรับฟังคำเบิกความบางตอนของพยานบางปากเพื่อให้สมข้ออ้างของจำเลยนั้น เป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยตลอดทั้งสำนวนแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์เสียหายเป็นเงิน 27,650 บาท จำเลยฎีกาว่าค่าเสียหายดังกล่าวนั้นเกินกว่าค่าเสียหายที่แท้จริง โดยจะให้ศาลรับฟังคำเบิกความบางตอนของพยานบางปากเพื่อให้สมข้ออ้างของจำเลยนั้น เป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 724/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของโรงแรมต่อความเสียหายจากลูกจ้างที่ขับรถของแขก การมอบกุญแจรถให้ลูกจ้างโรงแรมเพื่อเลื่อนรถ
ในทางแพ่งนั้นกฎหมายไม่ได้บังคับว่า สิทธิฟ้องร้องที่อาจมีได้หลายทางนั้น โจทก์จะต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง เมื่อโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงให้เข้าใจตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของศาลที่จะนำตัวบทกฎหมายมาปรับแก่คดีเอง
โจทก์พักในโรงแรมของจำเลยที่ 1 คนขับรถของโจทก์ได้มอบกุญแจรถยนต์ให้จำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ไป เพื่อเลื่อนรถโจทก์ที่ขวางทางรถคันอื่น ซึ่งเป็นการที่จำเลยที่ 2 รับกุญแจรถไปปฏิบัติหน้าที่ในกิจการโรงแรมของจำเลยที่ 1 การที่คนขับรถซึ่งเป็นบริวารของโจทก์มอบกุญแจรถให้จำเลยที่ 2 ไปนี้ จึงมิใช้ความผิดของบริวารของโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ใช้กุญแจรถดังกล่าวขับรถยนต์ของโจทก์ออกจากโรงแรมไปจนเกิดอุบัติหตุทำให้รถโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงไม่พ้นความรับผิด
โจทก์พักในโรงแรมของจำเลยที่ 1 คนขับรถของโจทก์ได้มอบกุญแจรถยนต์ให้จำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ไป เพื่อเลื่อนรถโจทก์ที่ขวางทางรถคันอื่น ซึ่งเป็นการที่จำเลยที่ 2 รับกุญแจรถไปปฏิบัติหน้าที่ในกิจการโรงแรมของจำเลยที่ 1 การที่คนขับรถซึ่งเป็นบริวารของโจทก์มอบกุญแจรถให้จำเลยที่ 2 ไปนี้ จึงมิใช้ความผิดของบริวารของโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ใช้กุญแจรถดังกล่าวขับรถยนต์ของโจทก์ออกจากโรงแรมไปจนเกิดอุบัติหตุทำให้รถโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงไม่พ้นความรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าผ้าและการฟ้องคดีซ้อน อายุความ 2 ปี
เช่าผ้าไปใช้ในกิจการโรงแรม อายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(6)
คดีเดิมจำเลยที่ 2 มิได้ถูกฟ้องด้วย จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
บรรยายฟ้องว่าระหว่างวันที่ระบุในฟ้อง จำเลยจ้างโจทก์ซักรีดผ้าและเช่าผ้าของโจทก์ ค้างชำระค่าเช่าเป็นเงินตามที่ระบุ เป็นฟ้องที่สมบูรณ์
คดีเดิมจำเลยที่ 2 มิได้ถูกฟ้องด้วย จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
บรรยายฟ้องว่าระหว่างวันที่ระบุในฟ้อง จำเลยจ้างโจทก์ซักรีดผ้าและเช่าผ้าของโจทก์ ค้างชำระค่าเช่าเป็นเงินตามที่ระบุ เป็นฟ้องที่สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 824/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของโรงแรมต่อการสูญหายของรถจักรยานยนต์ที่ไม่ใช่ของมีค่า
คำว่า "ของมีค่า" ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 675 วรรค 2 นั้น หมายถึงทรัพย์สินที่มีคุณค่าอันมีลักษณะพิเศษทำนองเดียวกันเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน ฯลฯ แต่รถจักรยานยนต์เป็นเพียงทรัพย์สินตามธรรมดาทั่ว ๆ ไป จึงถือไม่ได้ว่าเป็นของมีค่าตามบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้ฝากรถจักรยานยนต์ไว้กับพนักงานโรงแรมของจำเลย แล้วรถจักรยานยนต์ดังกล่าวหายไป จำเลยเป็นเจ้าของสำนักโรงแรมจึงต้องรับผิดตามมาตรา 674, 675 วรรคหนึ่ง จะรับผิดเพียง 500 บาท ตามมาตรา 675 วรรค 2 ไม่ได้
ศาลชั้นต้นฟังว่า รถจักรยานยนต์หายไปโดยมิใช่ความผิดของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยใช้ราคารถจักรยานยนต์ 12,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำรถจักรยานยนต์เข้าเก็บในโรงแรมโดยไม่ใส่กุญแจรถเป็นความผิดของโจทก์ ดังนี้เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นฟังว่า รถจักรยานยนต์หายไปโดยมิใช่ความผิดของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยใช้ราคารถจักรยานยนต์ 12,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำรถจักรยานยนต์เข้าเก็บในโรงแรมโดยไม่ใส่กุญแจรถเป็นความผิดของโจทก์ ดังนี้เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 824/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของโรงแรมต่อทรัพย์สินของลูกค้า: รถจักรยานยนต์ไม่ใช่ 'ของมีค่า' ตามกฎหมาย
คำว่า 'ของมีค่า' ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 675 วรรคสอง นั้นหมายถึงทรัพย์สินที่มีคุณค่าอันมีลักษณะพิเศษทำนองเดียวกับเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน ฯลฯ แต่รถจักรยานยนต์เป็นเพียงทรัพย์สินตามธรรมดาทั่วๆ ไป จึงถือไม่ได้ว่าเป็นของมีค่าตามบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้ฝากรถจักรยานยนต์ไว้กับพนักงานโรงแรมของจำเลย แล้วรถจักรยานยนต์ดังกล่าวหายไป จำเลยเป็นเจ้าสำนักโรงแรมจึงต้องรับผิดตามมาตรา 674,675 วรรคหนึ่ง จะรับผิดเพียง 500 บาทตามมาตรา 675 วรรคสองไม่ได้
ศาลชั้นต้นฟังว่า รถจักรยานยนต์หายไปโดยมิใช่ความผิดของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยใช้ราคารถจักรยานยนต์ 12,000 บาทศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่าโจทก์นำรถจักรยานยนต์เข้าเก็บในโรงแรมโดยไม่ใส่กุญแจรถเป็นความผิดของโจทก์ดังนี้เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นฟังว่า รถจักรยานยนต์หายไปโดยมิใช่ความผิดของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยใช้ราคารถจักรยานยนต์ 12,000 บาทศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่าโจทก์นำรถจักรยานยนต์เข้าเก็บในโรงแรมโดยไม่ใส่กุญแจรถเป็นความผิดของโจทก์ดังนี้เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1583-1584/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเช่าโรงแรม: แม้ใบอนุญาตไม่ต่อ แต่การเช่ายังมีผล โจทก์ต้องชำระค่าเช่าตามสัญญา
โจทก์และจำเลยต่างฟ้องกันเกี่ยวกับการเช่าโรงแรม ก่อนสืบพยานคู่ความแถลงตกลงกันเพื่อเลิกคดี เรื่องค่าเช่าที่ค้างนั้นตกลงกันว่า โจทก์ย่อมชำระค่าเช่าที่ค้างมาทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งจะได้คิดตัวเลขกันต่อไปว่าค้างค่าเช่ามาเท่าใด ต่อมาจำเลยแถลงว่าโจทก์ยังค้างค่าเช่ารวม 10 เดือน โจทก์แถลงโต้แย้งว่าค้าง 4 เดือนเท่านั้น อีก 6 เดือนต่อจากนั้นโจทก์ถือว่าไม่ใช่ค่าเช่า เพราะการเช่าต้องมีใบอนุญาตให้ดำเนินการโรงแรมได้ แต่ทางการไม่ต่อใบอนุญาตให้เพราะจำเลยไปร้องไม่ให้ต่อใบอนุญาต ดังนี้เมื่อโจทก์มิได้เถียงว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าสำหรับระยะเวลา 6 เดือนหลังนี้ เพราะว่าได้เลิกสัญญาเช่ากันแล้ว เมื่อการเช่ายังมีอยู่โจทก์ก็ต้องรับผิดในเรื่องค่าเช่า และที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไปร้องขอให้ทางการไม่อนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมในที่ที่เช่านั้น เมื่อปรากฏแก่ศาลว่าโรงแรมยังดำเนินการอยู่ในระหว่างนั้น โจทก์ยังคงได้รับประโยชน์จากการที่ใช้ทรัพย์สินที่เช่า โจทก์จึงต้องชำระค่าเช่าตอบแทน ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้างอยู่ทั้ง 10 เดือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1583-1584/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าโรงแรม: การรับผิดค่าเช่าแม้ใบอนุญาตจะถูกระงับ หากยังได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพย์สิน
โจทก์และจำเลยต่างฟ้องกันเกี่ยวกับการเช่าโรงแรม ก่อนสืบพยานคู่ความแถลงตกลงกันเพื่อเลิกคดี เรื่องค่าเช่าที่ค้างนั้นตกลงกันว่า โจทก์ยอมชำระค่าเช่าที่ค้างมาทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งจะได้คิดตัวเลขกันต่อไปว่าค้างค่าเช่ามาเท่าใด ต่อมาจำเลยแถลงว่าโจทก์ยังค้างค่าเช่ารวม 10 เดือน โจทก์แถลงโต้แย้งว่าค้าง 4 เดือนเท่านั้น อีก 6 เดือนต่อจากนั้นโจทก์ถือว่าไม่ใช่ค่าเช่า เพราะการเช่าต้องมีใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมได้ แต่ทางการไม่ต่อใบอนุญาตให้ เพราะจำเลยไปร้องไม่ให้ต่อใบอนุญาต ดังนี้เมื่อโจทก์มิได้เถียงว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าสำหรับระยะเวลา 6 เดือน หลังนี้ เพราะว่าได้เลิกสัญญาเช่ากันแล้ว เมื่อการเช่ายังมีอยู่โจทก์ก็ต้องรับผิดในเรื่องค่าเช่า และที่โจทก์อ้างว่าจำเลยไปร้องขอให้ทางการไม่อนุญาตให้ดำเนินกิจการโรงแรมในที่ที่เช่านั้น เมื่อปรากฏแก่ศาลว่าโรงแรมยังดำเนินกิจการอยู่ในระหว่างนั้น โจทก์ยังคงได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพย์สินที่เช่า โจทก์จึงต้องชำระค่าเช่าตอบแทน ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้างอยู่ทั้ง 10 เดือน