พบผลลัพธ์ทั้งหมด 271 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3574/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การและผลกระทบต่อการดำเนินกระบวนพิจารณา: ศาลต้องไต่สวนก่อนมีคำสั่ง
วันนัดสืบพยานโจทก์วันที่27ธันวาคม2536ก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ดังกล่าวจำเลยได้ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การเมื่อวันที่21ธันวาคม2536โดยอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การศาลชั้นต้นสั่งคำร้องจำเลยในวันดังกล่าวว่า"สำเนาให้โจทก์นัดไต่สวนให้จำเลยนำส่งภายใน7วันไม่พบหรือไม่มีผู้รับให้ปิด"กรณีดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยได้แจ้งให้ศาลทราบก่อนเริ่มสืบพยานถึงเหตุที่ตนมิได้ยื่นคำให้การทั้งข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่หรือว่าจำเลยมีเหตุสมควรประการอื่นอย่างใดศาลชอบที่จะได้ทำการไต่สวนเสียก่อนก่อนที่จะมีคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การซึ่งแม้ศาลชั้นต้นจะมิได้กำหนดวันนัดไต่สวนไว้ด้วยก็ตามก็ต้องถือว่าคดีอยู่ระหว่างการนัดไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การดังนั้นกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่27ธันวาคม2536ซึ่งยังอยู่ในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การให้แก่โจทก์นั้นย่อมถือว่ายกเลิกไปโดยปริยายที่ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่27ธันวาคม2536ว่านัดสืบพยานโจทก์และนัดไต่สวนขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลยจำเลยไม่มาศาลในวันดังกล่าวถือว่าจำเลยไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุนคำร้องให้ฟังได้ว่าการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยมิได้เป็นไปโดยจงใจและยกคำร้องนั้นจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา199วรรคหนึ่งและวรรคสองเพราะศาลชั้นต้นมิได้นัดไต่สวนคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยในวันดังกล่าวและการที่สั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบเช่นกันเพราะคดียังอยู่ในระหว่างระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขอยื่นคำให้การแก่โจทก์และวันนัดสืบพยานโจทก์เป็นอันยกเลิกไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2514/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดี: ศาลต้องไต่สวนข้อเท็จจริงก่อนมีคำสั่ง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่มีใจความสรุปว่า ในวันนัดสืบพยาน ทนายจำเลยมาศาลเวลา 8.30 นาฬิกา ได้ตรวจสอบวันนัดกับเวลานัดของศาลซึ่งเป็นใบลอยติดไว้ที่หน้าศาล ปรากฏว่าคดีนี้ศาลนัดเป็นเวลา 13.30 นาฬิกาทนายจำเลยได้ไปตรวจสอบที่ศูนย์หน้าบัลลังก์ ก็ปรากฏว่าตรงกันคือเวลา 13.30นาฬิกา เพื่อความแน่ใจทนายจำเลยจึงไปสอบถามเกี่ยวกับบัลลังก์ว่าคดีดังกล่าวจะพิจารณาที่บัลลังก์ใด ปรากฏว่าเป็นบัลลังก์ที่ 40 และได้ไปนั่งรออยู่หน้าบัลลังก์ดังกล่าวระหว่างนั้น ล.เสมียนพิมพ์ดีดของบัลลังก์ที่ 40 ได้เข้ามาที่บัลลังก์ที่ 40 จึงได้สอบถามล.ได้ไปสอบถาม ธ.เสมียนหน้าบัลลังก์ที่ 40 ได้ตรวจสอบแล้วให้ ล.มาบอกทนายจำเลยว่าคดีนี้นัดตอนบ่าย ทนายจำเลยได้รออยู่จนเวลา 9.05 นาฬิกา จึงออกไปนอกศาลและกลับมาเวลา 13.30 นาฬิกา ปรากฏว่าศาลดำเนินกระบวนพิจารณาไปแล้วในตอนเช้า ดังนี้หากเป็นจริงดังทนายจำเลยอ้าง จำเลยก็มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นควรไต่สวนให้ได้ความเสียก่อนว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่ทนายจำเลยกล่าวอ้างหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ทำการไต่สวนนั้นเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2514/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดี: ศาลต้องไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีทนายจำเลยอ้างว่าได้รับการแจ้งนัดเวลาผิดพลาด
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่มีใจความสรุปว่าในวันนัดสืบพยาน ทนายจำเลยมาศาลเวลา 8.30 นาฬิกาได้ตรวจสอบวันนัดกับเวลานัดของศาลซึ่งเป็นใบลอยติดไว้ที่หน้าศาล ปรากฏว่าคดีนี้ศาลนัดเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา ทนายจำเลยได้ไปตรวจสอบที่ศูนย์หน้าบัลลังก์ ก็ปรากฏว่าตรงกันคือเวลา 13.30 นาฬิกา เพื่อความแน่ใจทนายจำเลยจึงไปสอบถามเกี่ยวกับบัลลังก์ว่าคดีดังกล่าวจะพิจารณาที่บัลลังก์ใดปรากฏว่าเป็นบัลลังก์ที่ 40 และได้ไปนั่งรออยู่หน้าบัลลังก์ดังกล่าวระหว่างนั้น ล. เสมียนพิมพ์ดีดของบัลลังก์ที่ 40ได้เข้ามาที่บัลลังก์ที่ 40 จึงได้สอบถาม ล. ได้ไปสอบถามธ. เสมียนหน้าบัลลังก์ที่ 40 ได้ตรวจสอบแล้วให้ ล.มาบอกทนายจำเลยว่าคดีนี้นัดตอนบ่าย ทนายจำเลยได้รออยู่จนเวลา 9.50 นาฬิกา จึงออกไปนอกศาลและกลับมาเวลา 13.30 นาฬิกาปรากฏว่าศาลดำเนินกระบวนพิจารณาไปแล้วในตอนเช้า ดังนี้หากเป็นจริงดังทนายจำเลยอ้าง จำเลยก็มิได้จงใจขาดนัดพิจารณาศาลชั้นต้นควรไต่สวนให้ได้ความเสียก่อนว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่ทนายจำเลยกล่าวอ้างหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ทำการไต่สวนนั้นเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1652/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเป็นต้องมีการไต่สวนเพื่อยืนยันการรับทราบของจำเลย
ทนายจำเลยอ้างว่าไม่ทราบหมายแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1ที่เจ้าพนักงานศาลได้ปิดหมายณสำนักงานของทนายจำเลยเพราะย้ายไปอยู่ที่อื่นก่อนแล้วหากเป็นความจริงก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยทราบวันนัดซึ่งศาลชั้นต้นสมควรจะต้องไต่สวนให้ได้ความก่อนการที่ศาลชั้นต้นไม่ไต่สวนโดยถือว่าการอ่านคำพิพากษาดังกล่าวชอบแล้วจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1006/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไต่สวนคำร้องขอความช่วยเหลือทางกฎหมายและการไม่รับอุทธรณ์จากฐานะยากจน
ในการไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 ที่ยื่นครั้งแรก ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 มิใช่เป็นคนยากจน พอมีเงินเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น คงยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1 นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าเป็นคนยากจน แต่ข้ออ้างที่ขอให้ไต่สวนใหม่ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยากจนนั้น ปรากฏในคำร้องว่าเป็นเหตุอันเดียวกับที่ได้อ้างและศาลชั้นต้นไต่สวนไว้เดิมแล้ว ไม่มีเหตุที่พอจะหักล้างคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นได้ ถึงแม้จำเลยที่ 1 จะมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมอื่นใดก็ไม่พอที่จะแสดงให้เห็นฐานะของจำเลยที่ 1 นอกเหนือไปจากเดิมที่ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้ว จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 1 แล้วมีคำสั่งใหม่
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งว่าที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องและไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว เป็นเรื่องต่อเนื่องกันกับคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ซึ่งยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 ในชั้นอุทธรณ์ใหม่ และเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 สั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ในฐานะเป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนพิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยเฉพาะ ศาลฎีกาไม่พึงก้าวล่วงเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ดังกล่าว
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งว่าที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องและไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว เป็นเรื่องต่อเนื่องกันกับคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ซึ่งยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 ในชั้นอุทธรณ์ใหม่ และเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 สั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ในฐานะเป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนพิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยเฉพาะ ศาลฎีกาไม่พึงก้าวล่วงเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1006/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ ไม่รับไต่สวนฐานะยากจนซ้ำ และไม่เปลี่ยนแปลงดุลพินิจเรื่องขยายเวลาค่าธรรมเนียม
ในการไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่1ที่ยื่นครั้งแรกศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่1มิใช่เป็นคนยากจนพอมีเงินเสียค่าธรรมเนียมศาลได้จำเลยที่1มิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นคงยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่1นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าเป็นคนยากจนแต่ข้ออ้างที่ขอให้ไต่สวนใหม่ว่าจำเลยที่1เป็นคนยากจนนั้นปรากฏในคำร้องว่าเป็นเหตุอันเดียวกับที่ได้อ้างและศาลชั้นต้นไต่สวนไว้เดิมแล้วไม่มีเหตุที่พอจะหักล้างคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นได้ถึงแม้จำเลยที่1จะมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมอื่นใดก็ไม่พอที่จะแสดงให้เห็นฐานะของจำเลยที่1นอกเหนือไปจากเดิมที่ศาลชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้วจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะไต่สวนคำร้องของจำเลยที่1แล้วมีคำสั่งใหม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่1ที่ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค2มีคำสั่งว่าที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องและไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่1ชอบแล้วเป็นเรื่องต่อเนื่องกันกับคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค2ซึ่งยกอุทธรณ์ของจำเลยที่1ที่ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยที่1ในชั้นอุทธรณ์ใหม่และเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค2สั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา23ในฐานะเป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนพิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์ภาค2โดยเฉพาะศาลฎีกาไม่พึงก้าวล่วงเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ภาค2ดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6994/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการสืบพยานคดีคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา: ศาลมีอำนาจไต่สวนทั้งสองฝ่าย
การขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) แม้ว่ากฎหมายจะบัญญัติให้ทำเป็นคำขอฝ่ายเดียวก็ตาม แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ ก่อนออกคำสั่งในเรื่องนั้น ๆ ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 578/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไต่สวนคำร้องเพิกถอนผู้จัดการมรดก ศาลไม่จำเป็นต้องสืบพยาน หากจากการไต่สวนเบื้องต้นไม่ปรากฏเหตุสมควร
การที่ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงถึงเหตุที่ผู้ร้องขอถอนผู้คัดค้านออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกโดยจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาและให้คู่ความลงชื่อไว้ ถือได้ว่าเป็นการไต่สวนแล้ว ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏเหตุที่สมควรเพิกถอนผู้คัดค้านออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก ศาลชั้นต้นจึงวินิจฉัยยกคำร้องโดยไม่สืบพยานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5076/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมอบอำนาจและการไต่สวนเหตุจำเป็นในการไม่สามารถมาศาลได้ในคดีแรงงาน
ในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ของศาลแรงงานกลางจำเลยมอบอำนาจให้ พ. มาชี้แจงข้อเท็จจริงแก้ข้อกล่าวหาของโจทก์ แต่ พ.มีความจำเป็นต้องไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยจึงมอบให้ ส.ถือหนังสือมอบอำนาจและหนังสือของ พ. ที่ขอเลื่อนการให้การมายื่นต่อศาล-แรงงานกลาง เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่โดยได้แถลงให้ศาลทราบถึงความจำเป็นที่ไม่อาจมาศาลได้ ศาลแรงงานกลางก็ชอบที่ดำเนินการไต่สวนเพื่อจะได้ทราบว่าจำเลยมีเหตุจำเป็นจริงหรือไม่ ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 41
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4947/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าเป็นคู่ความแทนที่หลังจำเลยเสียชีวิต: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่ง และศาลชั้นต้นต้องไต่สวนก่อนส่งสำนวน
จำเลยที่ 4 ถึงแก่ความตายขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ย่อมเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับการเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ศาลชั้นต้นจะต้องเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปก่อน และทำการไต่สวนให้ได้ความว่าผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 4 จริงหรือไม่ แล้วส่งคำร้องดังกล่าวพร้อมสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาสั่ง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่แล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ศาลล่างทั้งสองดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องก่อน