พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 510/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษา: ศาลชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยอ้างชำระหนี้บางส่วน
ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีระบุจำนวนเงินและอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความที่ให้จำเลยชำระแก่โจทก์ตรงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามคำขอของโจทก์ การออกหมายบังคับคดีจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 และไม่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติตามมาตรา 296 การที่จำเลยอ้างว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนแล้ว โจทก์ก็มิได้รับรองว่าได้รับชำระหนี้ไว้และแม้เป็นความจริงก็ยังมีหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก้โจทก์อยู่อีกจำเลยจึงต้องไปว่ากล่าวกับโจทก์เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากจะยกเอามาเป็นเหตุให้ศาลยกเลิกหมายบังคับคดีหรืองดการบังคับคดีหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5054/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอให้ศาลฎีกาพิจารณานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องกระทำโดยการยื่นคำฟ้องฎีกา ไม่ใช่คำแก้ฎีกา
คำแก้ฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้สอบสวนในความผิดข้อหาที่ฟ้องมาก่อน หากฟังว่าจำเลยกระทำผิดก็ขอให้รอการลงโทษ เป็นการขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกา จะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5054/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยนอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ต้องยื่นคำฟ้องฎีกาโดยตรง
คำแก้ฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้สอบสวนในความผิดข้อหาที่ฟ้องมาก่อน หากฟังว่าจำเลยกระทำผิดก็ขอให้รอการลงโทษ เป็นการขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกา จะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4993/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน: ผลของคำพิพากษาคดีก่อน และอายุความการฟ้องแย่งการครอบครอง
ประเด็นในคดีก่อนมีว่า โจทก์ (จำเลยที่ 1 คดีนี้) หรือจำเลย(โจทก์คดีนี้) ครอบครองที่ดินพิพาท ส่วนประเด็นในคดีนี้มีว่าโจทก์ได้ซื้อและครอบครองที่ดินพิพาทจนเป็นเจ้าของแล้วจำเลยได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ หรือไม่ ซึ่งศาลจำต้องวินิจฉัยประเด็นทั้งสองว่าใครเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเช่นเดียวกัน จึงเป็นประเด็นอย่าง เดียวกัน
ปัญหาว่าโจทก์ไม่ฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนการครอบครองหรือถูกแย่งการครอบครองจึงขาดสิทธิที่จะฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทนั้นแม้ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้และจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ก็ตามแต่เป็นปัญหา เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะจำเลยให้การต่อสู้ไว้ตั้งแต่ต้น
จำเลยเพิ่งเข้าไปครอบครองปลูกต้นมันสำปะหลังในที่ดินพิพาทเมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2521 และต่อมาจำเลยที่ 1 ก็ได้ฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2521 ศาลฎีกาพิพากษาเมื่อปี 2526 การที่จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทในระหว่างที่ศาลพิจารณาคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ขอให้ห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 จะยกเอาสิทธิแห่งการครอบครองมายันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นหาได้ไม่การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2522 จึงยังไม่ขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองแต่อย่างใด.
ปัญหาว่าโจทก์ไม่ฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนการครอบครองหรือถูกแย่งการครอบครองจึงขาดสิทธิที่จะฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทนั้นแม้ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้และจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ก็ตามแต่เป็นปัญหา เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะจำเลยให้การต่อสู้ไว้ตั้งแต่ต้น
จำเลยเพิ่งเข้าไปครอบครองปลูกต้นมันสำปะหลังในที่ดินพิพาทเมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2521 และต่อมาจำเลยที่ 1 ก็ได้ฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2521 ศาลฎีกาพิพากษาเมื่อปี 2526 การที่จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทในระหว่างที่ศาลพิจารณาคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ขอให้ห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 จะยกเอาสิทธิแห่งการครอบครองมายันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นหาได้ไม่การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2522 จึงยังไม่ขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองแต่อย่างใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4993/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน: ผลของคำพิพากษาคดีก่อน และการไม่ขาดสิทธิฟ้องภายใน 1 ปี
ประเด็นในคดีก่อนมีว่า โจทก์ (จำเลยที่ 1 คดีนี้) หรือจำเลย(โจทก์คดีนี้) ครอบครองที่ดินพิพาท ส่วนประเด็นในคดีนี้มีว่าโจทก์ได้ซื้อและครอบครองที่ดินพิพาทจนเป็นเจ้าของแล้วจำเลยได้บุกรุกที่ดินของโจทก์หรือไม่ ซึ่งศาลจำต้องวินิจฉัยประเด็นทั้งสองว่าใครเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเช่นเดียวกันจึงเป็นประเด็นอย่างเดียวกัน ปัญหาว่าโจทก์ไม่ฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนการครอบครองหรือถูกแย่งการครอบครองจึงขาดสิทธิที่จะฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทนั้นแม้ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้และจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ก็ตามแต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะจำเลยให้การต่อสู้ไว้ตั้งแต่ต้น จำเลยเพิ่งเข้าไปครอบครองปลูกต้นมันสำปะหลังในที่ดินพิพาทเมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2521 และต่อมาจำเลยที่ 1 ก็ได้ฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2521 ศาลฎีกาพิพากษาเมื่อปี 2526 การที่จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทในระหว่างที่ศาลพิจารณาคดีที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ขอให้ห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 จะยกเอาสิทธิแห่งการครอบครองมายันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นหาได้ไม่การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2522 จึงยังไม่ขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองแต่อย่างใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อุทธรณ์คำสั่งไม่ประทับฟ้อง และคำพิพากษายืนของศาลอุทธรณ์ ทำให้ฎีกาไม่รับ
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วสั่งไม่ประทับฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงฎีกาไม่ได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแม้คดีนี้จะเป็นการพิจารณาชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ต้องห้ามฎีกา ตามป.วิ.อ. มาตรา 220 ที่แก้ไขใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3978/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยจากการชำระหนี้ตามคำพิพากษา: เริ่มนับแต่วันพิพากษา แม้จำเลยวางเงินก่อนรับคำพิพากษา
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ บังคับ จำเลย โอน บ้าน พร้อม ที่ดิน ให้ แก่ โจทก์ ถ้า จำเลย ไม่สามารถ โอน ได้ ก็ ให้ ชดใช้ มูลค่า บ้าน และ ที่ดิน พร้อม ด้วย ดอกเบี้ย ศาลชั้นต้น ฟัง ว่า จำเลย ไม่สามารถ โอน บ้าน พร้อม ที่ดิน ให้ แก่ โจทก์ ได้ จึง พิพากษา ตาม คำขอ ของ โจทก์ ให้ จำเลย ชดใช้ มูลค่า บ้าน พร้อม ที่ดิน เป็น เงิน 300,000 บาท ดังนี้ สิทธิ ของ โจทก์ ที่ จะ ได้รับ ชำระหนี้ เป็น เงิน จึง เกิดขึ้น เมื่อ ศาล พิพากษา และ มี สิทธิ เรียก ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ เจ็ด ครึ่ง ต่อ ปี นับแต่ วัน พิพากษา เป็นต้น ไป จำเลย ได้ นำ เงิน มา วางศาล เพื่อ ให้ โจทก์ รับ ไป ก่อน ศาลชั้นต้น มี คำพิพากษา แต่ ตาม คำแถลง ขอ วางเงิน ของ จำเลย มี ใจความ ว่า จำเลย นำ เงิน จำนวน 300,000 บาท มา วางศาล เพื่อ ให้ โจทก์ รับ ไป ทั้งนี้ เพื่อ ให้ กรณี พิพาท ระหว่าง โจทก์ และ จำเลย สิ้นสุด ลง โดย ไม่เป็น การ ยุ่งยาก เสีย เวลา ของ ศาล ดังนี้ เป็น การ ที่ จำเลย วางเงิน ต่อ ศาล โดย ไม่ยอม รับผิด ย่อม ไม่เป็นเหตุ ให้ ระงับ การ เสีย ดอกเบี้ย ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 136 วรรคสอง จำเลย หมด ภาระ เสีย ดอกเบี้ย ให้ โจทก์ เมื่อ โจทก์ รับ เงิน ที่ วาง ไป จาก ศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 391/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฎีกาของผู้ขอประกัน พิจารณาจากกฎหมายในวันยื่นฎีกา แม้ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว
การพิจารณาว่าผู้ขอประกันมีสิทธิฎีกาได้หรือไม่เพียงไรต้องพิจารณาตามบทกฎหมายและสิทธิในวันยื่นฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ขอประกัน และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน สิทธิของผู้ขอประกันจึงเป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 119ที่แก้ไขและมีผลใช้บังคับก่อนวันที่ที่ผู้ขอประกันยื่นฎีกา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3756/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าหนี้มีประกันในคดีล้มละลาย: ผลของการไม่บังคับจำนองตามคำพิพากษาเดิม
ในคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยกับพวกให้ร่วมกันรับผิดใช้เงินแก่ผู้ร้อง มิฉะนั้นให้นำทรัพย์จำนองของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ผู้ร้องนั้น ศาลเพียงแต่พิพากษาให้จำเลยร่วมกับพวกชำระหนี้แก่ผู้ร้องเท่านั้น มิได้กล่าวถึงการบังคับจำนองด้วย จึงต้องถือว่าคำฟ้องที่ผู้ร้องขอให้บังคับจำนอง ศาลนั้นพิพากษายกฟ้อง เมื่อผู้ร้องไม่อุทธรณ์ฎีกา คำพิพากษานั้นจึงผูกพันผู้ร้องมิให้บังคับจำนองตามสัญญาจำนองรายนี้ต่อไป ดังนั้นผู้ร้องจึงหามีสิทธิเหนือทรัพย์สินในฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกันในทางจำนองตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 95 อีกไม่ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247 และ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3305/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งระหว่างพิจารณาหลังมีคำพิพากษา: จำเลยต้องโต้แย้งทันที หากไม่ทำ ไม่มีสิทธิอุทธรณ์
คำสั่งอันจะถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาไม่ได้จำกัดไว้เฉพาะคำสั่งที่สั่งก่อนมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีอันเป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีเท่านั้น แม้ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีอันเป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้ว เมื่อจำเป็นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อมีคำสั่งชี้ขาดตามคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่อีก คำสั่งในระหว่างการดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวก่อนมีคำสั่งชี้ขาดตามคำขอนั้นย่อม เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นเดียวกัน
หลังจากศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษาชี้ขาดตัดสินในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้ว จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่ ในระหว่างการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ดังกล่าว ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งในคำแถลงของจำเลยที่คัดค้านคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ว่า การที่ศาลอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมนั้นเป็นเพราะพยานเป็นเจ้าหน้าที่เดินหมายของศาลแม้โจทก์ไม่อ้างเป็นพยาน ศาลก็ต้อง เรียกพยานดังกล่าวมาเป็นพยานเพราะเป็นพยานสำคัญ คำสั่งเช่นนี้เป็นคำสั่งในระหว่างที่ศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ก่อนที่จะมีคำสั่งชี้ขาดอนุญาตให้พิจารณาใหม่หรือไม่ จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากจำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นก็ต้องโต้แย้งคัดค้านไว้ เมื่อศาลมีคำสั่งในคำแถลงดังกล่าววันเดียวกันกับวันที่จำเลยยื่นคำแถลง ถือว่าจำเลยทราบคำสั่งในวันนั้นและศาลนัดฟังคำพิพากษาหลังวันมีคำสั่งถึง 2 วัน จำเลยจึงมีโอกาสโต้แย้งคัดค้านคำสั่งได้ เมื่อไม่โต้แย้งคัดค้าน จำเลยย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว
หลังจากศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษาชี้ขาดตัดสินในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีแล้ว จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่ ในระหว่างการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ดังกล่าว ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งในคำแถลงของจำเลยที่คัดค้านคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ว่า การที่ศาลอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมนั้นเป็นเพราะพยานเป็นเจ้าหน้าที่เดินหมายของศาลแม้โจทก์ไม่อ้างเป็นพยาน ศาลก็ต้อง เรียกพยานดังกล่าวมาเป็นพยานเพราะเป็นพยานสำคัญ คำสั่งเช่นนี้เป็นคำสั่งในระหว่างที่ศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ก่อนที่จะมีคำสั่งชี้ขาดอนุญาตให้พิจารณาใหม่หรือไม่ จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากจำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นก็ต้องโต้แย้งคัดค้านไว้ เมื่อศาลมีคำสั่งในคำแถลงดังกล่าววันเดียวกันกับวันที่จำเลยยื่นคำแถลง ถือว่าจำเลยทราบคำสั่งในวันนั้นและศาลนัดฟังคำพิพากษาหลังวันมีคำสั่งถึง 2 วัน จำเลยจึงมีโอกาสโต้แย้งคัดค้านคำสั่งได้ เมื่อไม่โต้แย้งคัดค้าน จำเลยย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว