คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ล้มละลาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,913 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3376/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนทรัพย์ก่อนล้มละลาย: กรรมสิทธิ์ยังเป็นของจำเลย การโอนเพื่อเอื้อประโยชน์เจ้าหนี้
ก่อนมีการขอให้จำเลยล้มละลาย 1 วัน จำเลยโอนขายที่พิพาทให้แก่ผู้คัดค้านทั้งสามแม้จะฟังว่าก่อนหน้านั้นจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทให้แก่ ท.ท. ชำระราคาครบถ้วนแล้วแต่ยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เนื่องจาก ท. ประสงค์จะขายต่อและจะให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อไปทีเดียวเพื่อประหยัดค่าธรรมเนียม ต่อมา ท. ตกลงจะขายที่พิพาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1โดยให้ผู้คัดค้านที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายกับจำเลยมีข้อความระบุว่าเป็นการขายภายใต้ความยินยอมของ ท. เมื่อผู้คัดค้านที่ 1ชำระราคาให้ ท. ครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงโอนขายที่พิพาทให้แก่ผู้คัดค้านทั้งสามตามความประสงค์ของผู้คัดค้านที่ 1 แต่ตราบใดที่จำเลยยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่ ท. การซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยกับ ท. ก็ยังไม่เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรก ต้องถือว่ากรรมสิทธิ์ในที่พิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่ จำเลยจึงมิใช่ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทแทน ท. ผลตามสัญญาจะซื้อขายทั้งสองฉบับคงมีแต่เพียงว่าหากจำเลยโอนขายที่พิพาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1โดย ท.ยินยอมไม่ถือว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายกับท. เท่านั้นการที่จำเลยโอนขายที่พิพาทให้แก่ผู้คัดค้านทั้งสามจึงหาใช่เป็นการโอนที่พิพาทแทน ท. ไม่ เมื่อการโอนขายที่ดินดังกล่าวเป็นการโอนในระหว่างสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายโดยขณะนั้นจำเลยมีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้ ต้องถือว่าเป็นการโอนโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านทั้งสามได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 115 การเพิกถอนการโอนทรัพย์พิพาทเป็นไปโดยผลของคำพิพากษาตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนการโอน ก็ยังถือว่าเป็นการโอนโดยชอบอยู่กรณียังถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันยื่นคำร้อง อันจะเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านต้องรับผิดในดอกเบี้ยตามขอ ผู้ร้องมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3258/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย: ไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากกรรมการเจ้าหนี้
ในคดีที่ผู้ร้องร้องคัดค้านต่อศาลปฏิเสธหนี้ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือยืนยันหนี้ตาม พระราชบัญญัติล้มละลายมาตรา 119 นั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อยู่ในฐานเป็นคู่ความมาแต่แรก หาใช่ผู้เริ่มต้นฟ้องคดีตามที่พระราชบัญญัติล้มละลายมาตรา 145(4) กำหนดให้ต้องได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้ก่อนไม่ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจฟ้องฎีกาโดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้หรือที่ประชุมเจ้าหนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3207/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการรับชำระหนี้ดอกเบี้ยในคดีล้มละลาย: การสอบสวนหนี้สินต้องให้ความเป็นธรรมและตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์1,578,355.08 บาท โดยเป็นเงินต้น 785,056.68 บาท ดอกเบี้ย793,298.40 บาท ยอดดอกเบี้ยเป็นการคำนวณนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แม้ ต. จะให้การเป็นพยานเจ้าหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในชั้นสอบสวนว่าในส่วนของดอกเบี้ยเป็นการขอรับชำระนับแต่วันชำระครั้งสุดท้ายจนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏเหตุที่เจ้าหนี้ไม่อาจขอรับชำระหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยก่อนหน้านั้น การสอบสวนในเรื่องหนี้สินของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 105 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และทำความจริงในเรื่องหนี้สินให้ปรากฏ เมื่อ ต.ให้การถึงเรื่องดอกเบี้ยดังกล่าว แต่เมื่อคำนวณแล้วปรากฏว่าต่างกับจำนวนดอกเบี้ยที่ขอรับชำระมาก เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็จะต้องสอบสวนต่อไปว่าเหตุใดเจ้าหนี้จึงยื่นขอรับชำระเกินเพื่อให้ ต.อธิบาย ต. คำนวณแล้วก็จะทราบว่าที่ให้การไปนั้นผิดหลง ความจริงเป็นการขอรับชำระดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดเป็นต้นมา มิใช่ถือโอกาสจากความผิดพลาดของพยานดังกล่าวมาเป็นเหตุอ้างมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในส่วนนั้นเป็นการไม่ให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าหนี้ หนี้ค่าดอกเบี้ยจำนวน 286,366.85 บาท ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อ้างว่าเจ้าหนี้ขอเกินมาเป็นหนี้ค่าดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยผิดนัดจนถึงวันที่มีการชำระหนี้ครั้งสุดท้ายจึงเป็นหนี้ที่ไม่ต้องห้ามมิให้เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามที่ยื่นขอมาเต็มจำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3072/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมซื้อขายระหว่างบุคคลล้มละลายเป็นโมฆะ ผู้มีส่วนได้เสียย่อมยกข้อความเสียเปล่าได้
เมื่อศาลพิพากษาให้บุคคลใดตกเป็นบุคคลล้มละลายแล้วตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งยกเลิกการล้มละลาย บุคคลนั้นย่อมไม่มีอำนาจกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตนได้ เว้นแต่จะได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาลเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้จัดการทรัพย์หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 24ถ้าฝ่าฝืนนิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะ คำว่าผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 133 เดิม (มาตรา 172 ใหม่) หมายถึงผู้ที่จะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ หากนิติกรรมที่กล่าวอ้างว่าเป็นโมฆะเป็นผลหรือไม่เป็นหรือกลับกัน เมื่อโจทก์ทั้งสี่ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าบิดาโจทก์ทั้งสี่ซื้อที่ดินพิพาทมาจาก ส.ผู้ล้มละลาย ต่อมาบิดาโจทก์ทั้งสี่ถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ทั้งสี่ และจำเลยให้การต่อสู้ว่าบิดาโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจาก ส.ขณะที่ส. เป็นบุคคลล้มละลาย นิติกรรมซื้อขายเป็นโมฆะโจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ดังนี้จำเลยจึงเป็นผู้ที่จะได้ประโยชน์จากที่นิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างส. กับบิดาโจทก์ทั้งสี่เป็นโมฆะจำเลยจึงชอบที่จะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นอ้างได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3043/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันตามคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่ง แม้มีการฟ้องล้มละลาย จำเลยยังคงเป็นหนี้
เมื่อคดีแพ่งที่พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ต่อโจทก์ถึงที่สุดแล้ว โจทก์และจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวจะต้องผูกพันตามคำพิพากษานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 คือต้องฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนตามคำพิพากษา ดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติยกเว้นไว้ว่า คดีล้มละลายนั้นคู่ความไม่ต้องผูกพันในผลของคดีแพ่งซึ่งถึงที่สุดแล้ว การที่จำเลยในคดีล้มละลายมีสิทธินำสืบว่าตนไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่สมควรเป็นบุคคลล้มละลายตามที่จำเลยกล่าวอ้างนั้นเป็นเพียงสิทธินำสืบทั่ว ๆ ไปของจำเลยเท่านั้น ไม่ถึงกับนำสืบหักล้างผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิคัดค้านการขายทอดตลาดในคดีล้มละลาย: ผู้มีส่วนได้เสียต้องยื่นคำร้องภายใน 14 วัน
ปัญหาว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีและมีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คดีไม่มีประเด็นพิพาทในปัญหาดังกล่าวในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควร ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจยกปัญหาข้อกฎหมายนั้นขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา142(5) ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องเป็นผู้เข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดที่ดินของบริษัทค.ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้ล้มละลาย ผู้ร้องได้รับความเสียหายจากการกระทำของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งได้มอบให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวแทนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและระเบียบของกรมบังคับคดีโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีเคาะไม้ขายให้แก่ผู้เข้าสู้ราคาในราคาต่ำกว่าที่ผู้ร้องเสนอ และเคาะไม้ตกลงขายโดยไม่นับ 1 ถึง 3 ก่อนดังนี้ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มอบให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวแทนถือได้ว่าเป็นการกระทำอย่างหนึ่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 146แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 หากเป็นความจริงดังที่ผู้ร้องอ้าง ย่อมถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยการกระทำของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 14 วัน นับแต่วันได้รับทราบการกระทำนั้น ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2937/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำคดีล้มละลาย: การอ้างหนี้เดิมเพิ่มเติมหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลาย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าจำเลยสามารถชำระหนี้ได้ คดีถึงที่สุด โจทก์ฟ้องคดีล้มละลายนี้โดยอ้างว่ามีพยานหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำนวนหนี้สินของจำเลย แต่เป็นหนี้สินที่จำเลยมีอยู่แล้วในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนซึ่งโจทก์ชอบที่จะอ้างและนำสืบได้ คำฟ้องโจทก์คดีนี้อาศัยข้อเท็จจริงในจำนวนหนี้ของจำเลยที่มีอยู่จริงซ้ำกับคดีก่อนจึงเป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2830/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจจัดการทรัพย์สินในคดีล้มละลาย และสิทธิการเข้าเป็นคู่ความของผู้รับจำนอง
เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดแล้วอำนาจในการจัดการทรัพย์สินทั้งปวงตลอดจนการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใด ๆ อันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ย่อมตกอยู่แก่ผู้คัดค้าน ตามบทบัญญัติมาตรา 22,23,24 และ 25 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 บรรดาเจ้าหนี้ของจำเลยทั้งสองจะขอรับชำระหนี้ได้ แต่โดยปฏิบัติตามวิธีการที่กล่าวไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 เท่านั้น การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลปล่อยทรัพย์พิพาทโดยเหตุที่ผู้คัดค้านไม่ให้ถอนการยึดตามคำคัดค้านของผู้ร้องที่ได้ดำเนินการตามมาตรา 158 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483แล้วนั้น เป็นเรื่องระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านที่จะเข้าเป็นคู่ความในคดี ผู้คัดค้านร่วมหามีสิทธิเจ้ามาต่อสู้คดีด้วยการร้องสอดเพื่อยังให้ได้รับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) แต่อย่างใดไม่ การวางเงินเพื่อประกันความเสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคสอง (1) นั้นศาลจะมีคำสั่งเช่นนั้นได้ต่อเมื่อมีการร้องขอ เมื่อผู้คัดค้านร่วมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความร่วมกับผู้คัดค้านผู้ร้องก็ไม่ต้องวางเงินประกันความเสียหายตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งตามคำร้องขอของผู้คัดค้านร่วม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2811/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ดุลพินิจศาลในคดีล้มละลาย: พิจารณาแผนชำระหนี้ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
จำเลยเป็นข้าราชการมีรายได้คือเงินเดือนที่แน่นอน และสามารถแบ่งชำระหนี้ได้เดือนละ 2,000 บาท ตามที่จำเลยเสนอ แม้จะใช้เวลายาวนานออกไป แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีการที่สามารถชำระหนี้ได้จริง เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้และจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้มากกว่าวิธีการพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายตามที่โจทก์ขอ เป็นเหตุไม่ควรพิพากษาให้จำเลยล้มละลายซึ่งศาลย่อมมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14ที่จะยกฟ้องโจทก์ได้ แม้คดีจะได้ความจริงว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวต้องตามมาตรา 9 ก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2811/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ดุลพินิจศาลในคดีล้มละลาย: พิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่มีรายได้ประจำ
จำเลยเป็นข้าราชการมีรายได้คือเงินเดือนที่แน่นอนและสามารถแบ่งชำระหนี้ได้เดือนละ 2,000 บาท ตามที่จำเลยเสนอ แม้จะใช้เวลายาวนานออกไป แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีการที่สามารถชำระหนี้ได้จริง เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้และจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้มากกว่าวิธีการพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายตามที่โจทก์ขอ เป็นเหตุไม่ควรพิพากษาให้จำเลยล้มละลายซึ่งศาลย่อมมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจตามพระราชบัญญัติพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ที่จะยกฟ้องโจทก์ได้ แม้คดีจะได้ความจริงว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวต้องตามมาตรา 9 ก็ตาม
of 192