คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5480/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องและการยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยหากไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์
ที่จำเลยฎีกาในเรื่องอำนาจฟ้องว่า ในชั้นพิจารณาโจทก์ไม่ได้นำสืบว่าขณะทำหนังสือมอบอำนาจ ศ. ยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์หรือไม่ เพราะหนังสือมอบอำนาจมิได้ระบุวันที่การทำหนังสือมอบอำนาจไว้นั้น ในประเด็นนี้จำเลยให้การสู้คดีไว้ว่า การมอบอำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะมิใช่ลายมือที่แท้จริงของ ศ. กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์บรรยายฟ้องว่า หลังจากจำเลยได้เบิกเงินจากบัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 5151-5 ที่สาขาขอนแก่นของโจทก์โดยใช้เช็คหรือใบเบิกที่โจทก์มอบให้ และได้นำเงินเข้าบัญชีอันเป็นการเดินสะพัดทางบัญชี แต่จำเลยไม่ได้ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ คิดตั้งแต่วันที่20 พฤษภาคม 2531 อันเป็นที่จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ ถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2534 ซึ่งเป็นวันเลิกทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จำเลยเป็นหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เป็นเงิน 1,302,129.80บาท คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาข้อนี้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า นับตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2533โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยเพราะสัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกกันแล้วนั้น จำเลยให้การสู้คดีไว้ว่าจำเลยไม่เคยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้เงินจากโจทก์และยอดหนี้ตามฟ้องไม่ถูกต้องเพราะจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องตามคำให้การดังกล่าวมีความหมายว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญากู้เงินและไม่เคยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ จำเลยจึงไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5418/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจไม่สมบูรณ์ & การนำสืบนอกฟ้อง
หนังสือมอบอำนาจระบุว่า โจทก์ที่ 2 ถึงโจทก์ที่ 4 มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ดำเนินคดีแทน โดยโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 4 ลงชื่อในช่องผู้มอบอำนาจไม่มีระบุไว้ด้วยว่าในฐานะพยาน ส่วนโจทก์ที่ 3 พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ที่บริเวณช่องว่างด้านซ้ายมือของลายมือชื่อโจทก์ที่ 2 ดังนี้ เมื่อหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมีเพียงจ.ลงลายมือชื่อในฐานะพยานเพียงคนเดียวเท่านั้น หาอาจถือได้ว่าลายมือชื่อโจทก์ที่ 2 และที่ 4 ที่ลงไว้ในช่องผู้มอบอำนาจนั้นได้รับรองลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ที่ 3ด้วย ลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ที่ 3 จึงมีพยานรับรองไม่ถึง 2 คน เท่ากับว่าโจทก์ที่ 3 ไม่ได้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้มอบอำนาจโดยสมบูรณ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 9วรรคสาม โจทก์ที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ที่ 3
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ได้กู้เงินจากจำเลยและ ส.โดยให้ยึดถือ น.ส.3 ก.ของที่ดินพิพาทไว้เป็นประกันและยินยอมให้เข้าทำนา หากภายใน3 ปี โจทก์ที่ 1 ไม่สามารถนำเงินมาชำระหนี้ โจทก์ที่ 1 ยินยอมโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยและ ส. การที่ในทางพิจารณาโจทก์ทั้งสี่นำสืบว่า โจทก์ที่ 1 นำที่ดินของโจทก์ที่ 1 และของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 ไปขายให้แก่จำเลยและ ส.โดยมีเงื่อนไขว่าจะไถ่ถอนภายใน 3 ปี หากไม่ไถ่ถอนภายใน 3 ปี ให้หมดสิทธิไถ่ถอนนั้น เป็นการนำสืบนอกฟ้องแตกต่างไปจากคำฟ้องอย่างชัดแจ้ง จึงหาใช่การนำสืบความเป็นมาแห่งหนี้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5418/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจไม่สมบูรณ์: พยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือไม่ครบตามกฎหมาย ทำให้ไม่มีอำนาจฟ้องแทน
หนังสือมอบอำนาจระบุว่า โจทก์ที่ 2 ถึงโจทก์ที่ 4มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ดำเนินคดีแทน โดยโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 4ลงชื่อในช่องผู้มอบอำนาจไม่มีระบุไว้ด้วยว่าในฐานะพยานส่วนโจทก์ที่ 3 พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ที่บริเวณช่องว่างด้านซ้ายมือของลายมือชื่อโจทก์ที่ 2 ดังนี้ เมื่อหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมีเพียง จ. ลงลายมือชื่อในฐานะพยานเพียงคนเดียวเท่านั้นหาอาจถือได้ว่าลายมือชื่อโจทก์ที่ 2 และที่ 4 ที่ลงไว้ในช่องผู้มอบอำนาจนั้นได้รับรองลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ที่ 3 ด้วยลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ที่ 3 จึงมีพยานรับรองไม่ถึง 2 คนเท่ากับว่าโจทก์ที่ 3 ไม่ได้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้มอบอำนาจโดยสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 9 วรรคสามโจทก์ที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ที่ 3 โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ได้กู้เงินจากจำเลยและส. โดยให้ยึดถือ น.ส.3 ก. ของที่ดินพิพาทไว้เป็นประกันและยินยอมให้เข้าทำนา หากภายใน 3 ปี โจทก์ที่ 1 ไม่สามารถนำเงินมาชำระหนี้ โจทก์ที่ 1 ยินยอมโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยและ ส. การที่ในทางพิจารณาโจทก์ทั้งสี่นำสืบว่าโจทก์ที่ 1 นำที่ดินของโจทก์ที่ 1 และของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4ไปขายให้แก่จำเลยและ ส. โดยมีเงื่อนไขว่าจะไถ่ถอนภายใน3 ปี หากไม่ไถ่ถอนภายใน 3 ปี ให้หมดสิทธิไถ่ถอนนั้นเป็นการนำสืบนอกฟ้องแตกต่างไปจากคำฟ้องอย่างชัดแจ้งจึงหาใช่การนำสืบความเป็นมาแห่งหนี้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5418/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องแทน & การนำสืบนอกฟ้อง: หนังสือมอบอำนาจต้องมีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือครบถ้วน การนำสืบต้องสอดคล้องกับฟ้อง
หนังสือมอบอำนาจระบุว่าโจทก์ที่2ถึงโจทก์ที่4มอบอำนาจให้โจทก์ที่1ดำเนินคดีแทนโดยโจทก์ที่2และโจทก์ที่4ลงชื่อในช่องผู้มอบอำนาจไม่มีระบุไว้ด้วยว่าในฐานะพยานส่วนโจทก์ที่3พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ที่บริเวณช่องว่างด้านซ้ายมือของลายมือชื่อโจทก์ที่2ดังนี้เมื่อหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมีเพียง จ. ลงลายมือชื่อในฐานะพยานเพียงคนเดียวเท่านั้นหาอาจถือได้ว่าลายมือชื่อโจทก์ที่2และที่4ที่ลงไว้ในช่องผู้มอบอำนาจนั้นได้รับรองลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ที่3ด้วยลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ที่3จึงมีพยานรับรองไม่ถึง2คนเท่ากับว่าโจทก์ที่3ไม่ได้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้มอบอำนาจโดยสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา9วรรคสามโจทก์ที่1จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ที่3 โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ที่1ได้กู้เงินจากจำเลยและส. โดยให้ยึดถือน.ส.3ก.ของที่ดินพิพาทไว้เป็นประกันและยินยอมให้เข้าทำนาหากภายใน3ปีโจทก์ที่1ไม่สามารถนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ที่1ยินยอมโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยและส. การที่ในทางพิจารณาโจทก์ทั้งสี่นำสืบว่าโจทก์ที่1นำที่ดินของโจทก์ที่1และของโจทก์ที่2ถึงที่4ไปขายให้แก่จำเลยและส. โดยมีเงื่อนไขว่าจะไถ่ถอนภายใน3ปีหากไม่ไถ่ถอนภายใน3ปีให้หมดสิทธิไถ่ถอนนั้นเป็นการนำสืบนอกฟ้องแตกต่างไปจากคำฟ้องอย่างชัดแจ้งจึงหาใช่การนำสืบความเป็นมาแห่งหนี้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5256/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกข้อต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องในชั้นฎีกาต้องเคยยกขึ้นในศาลชั้นต้น
ฎีกาของจำเลยมีใจความว่า ฟ้องโจทก์เป็นโมฆะ โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของและไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้นข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยอำนาจฟ้องเพราะไม่มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเป็นคู่ความได้หรือไม่ เมื่อจำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5256/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเรื่องอำนาจฟ้องและประเด็นข้อเท็จจริงที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาของจำเลยมีใจความว่า ฟ้องโจทก์เป็นโมฆะ โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของและไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น ข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยอำนาจฟ้องเพราะไม่มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเป็นคู่ความได้หรือไม่ เมื่อจำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5113/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบุคคลสิทธิ vs. ทรัพย์สิทธิ และอำนาจฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียน
ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ให้แก่โจทก์ ตามสัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดินเอกสารท้ายฟ้อง ต่อมาจำเลยที่ 1 กลับจดทะเบียนโอนขายที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 4โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ใช้อำนาจปกครองเป็นทางให้เสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 4 นั้น เมื่อสิทธิของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวเป็นเพียงบุคคลสิทธิซึ่งมีสิทธิเพียงที่จะบังคับให้จำเลยที่ 1 ไปทำการโอนขายที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ให้แก่โจทก์ตามสัญญาเท่านั้น โจทก์หามีทรัพย์สิทธิที่จะไปบังคับแก่จำเลยที่ 4 ผู้ซื้อที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์จากจำเลยที่ 1 แต่อย่างใดไม่ ดังนี้โจทก์จึงมิใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5113/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบุคคลสิทธิ vs. ทรัพย์สิทธิ: อำนาจฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดิน
ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยที่1ทำสัญญาจะขายที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดินเอกสารท้ายฟ้องต่อมาจำเลยที่1กลับจดทะเบียนโอนขายที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ดังกล่าวให้แก่จำเลยที่4โดยความยินยอมของจำเลยที่2และที่3ผู้ใช้อำนาจปกครองเป็นทางให้เสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่4นั้นเมื่อสิทธิของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวเป็นเพียงบุคคลสิทธิซึ่งมีสิทธิเพียงที่จะบังคับให้จำเลยที่1ไปทำการโอนขายที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์ให้แก่โจทก์ตามสัญญาเท่านั้นโจทก์หามีทรัพย์สิทธิที่จะไปบังคับแก่จำเลยที่4ผู้ซื้อที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์จากจำเลยที่1แต่อย่างใดไม่ดังนี้โจทก์จึงมิใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1300จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5112/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องครอบครองที่ดิน: การนำสืบเรื่องการเช่าไม่เป็นมูลฟ้อง พ.ร.บ.เช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไม่เกี่ยวข้่อง
ฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทได้ให้จำเลยอยู่อาศัย ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยเช่าก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ อาจยินยอมให้จำเลยอยู่อาศัยโดยไม่มีค่าตอบแทนหรือจำเลยอาจต้องเสียค่าตอบแทนอันมีลักษณะเป็นการเช่า ซึ่งก็มีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ และจำเลยก็ให้การยืนยันว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ไม่เคยอาศัยสิทธิอยู่อาศัยของโจทก์ โจทก์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท ดังนี้เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างถึงการเช่าเป็นมูลฟ้อง กรณีจึงไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5112/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีครอบครองปรปักษ์: การพิสูจน์ว่าจำเลยไม่ได้ครอบครองโดยอาศัยสิทธิโจทก์
ฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทได้ให้จำเลยอยู่อาศัย ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยเช่าก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์อาจยินยอมให้จำเลยอยู่อาศัยโดยไม่มีค่าตอบแทนหรือจำเลยอาจต้องเสียค่าตอบแทนอันมีลักษณะเป็นการเช่าซึ่งก็มีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ และจำเลยก็ให้การยืนยันว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ไม่เคยอาศัยสิทธิอยู่อาศัยของโจทก์ โจทก์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท ดังนี้เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างถึงการเช่าเป็นมูลฟ้อง กรณีจึงไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
of 452