พบผลลัพธ์ทั้งหมด 990 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1111/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดระยะเวลาซื้อขายที่ดินโดยนิติกรรมพิเศษ: การระบุวันสิ้นสุดชัดเจนทำให้ประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 158-159 ใช้ไม่ได้
บันทึกเปรียบเทียบที่โจทก์จำเลยลงชื่อไว้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2517 มีข้อความว่า ให้จำเลยขายที่ดินคืนให้โจทก์ภายในกำหนด 1 ปี ถ้าพ้นกำหนด 1 ปี (19 มีนาคม 2518) ยังไม่มีการซื้อขายที่ดินคืนก็ให้ยกเลิกข้อตกลง การที่ระบุข้อความในวงเล็บว่า '19 มีนาคม 2518' ไว้ก็ด้วยเจตนาที่จะกำหนดวันสิ้นสุดแห่งระยะเวลา 1 ปี ให้เป็นที่แน่นอน เป็นข้อยกเว้นโดยนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 จะนำวิธีการกำหนดนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 158,159 มาใช้บังคับไม่ได้ต้องถือว่าวันที่ 19 มีนาคม 2518 เป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาที่โจทก์มีสิทธิขอซื้อที่ดินคืน เมื่อโจทก์ขอซื้อคืนในวันที่ 20 มีนาคม 2518 โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะซื้อคืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 570/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินต่อเนื่องและการฟ้องเพิกถอนโฉนดเกินกำหนด 1 ปี สิทธิครอบครองเดิมไม่ได้รับการปกป้อง
เดิมที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมี น.ส.3 ของโจทก์ ต่อมา พ.ศ.2511 ย. ได้นำรังวัดเพื่อออกโฉนดผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน ย. โฉนดออกให้เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2512 และต่อมาวันที่ 20 กรกฎาคม 2514 ย. ได้ขายที่ดินตามโฉนดดังกล่าวให้แก่จำเลย ดังนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ให้สันนิษฐานว่าผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ย. และจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องกันจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานดังกล่าว ส่วนที่ดินโจทก์เป็นที่ น.ส.3. ผู้ยึดถือมีเพียงสิทธิครอบครองตลอดเวลาที่ยังคงยึดถืออยู่ เมื่อถูกรบกวนหรือถูกแย่งการครอบครองจะต้องฟ้องขอให้ปลดเปลื้องหรือเรียกคืนการครอบครองเสียภายใน 1 ปี ตามมาตรา 1374,1375 เมื่อปรากฏว่าโจทก์เองไม่เคยเข้าไปครอบครองที่พิพาทจริงจัง เพิ่งรู้ว่ามีการบุกรุกออกโฉนดทับที่ เมื่อโจทก์ไปขอรังวัดออกโฉนดที่ดินของตนเมื่อต้นปี พ.ศ.2513 และโจทก์จะขอเจรจากับ ย. เจ้าของที่ในขณะนั้นก็ถูกปฏิเสธ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่พิพาทแสดงว่าโจทก์รู้ว่าถูกแย่งการครอบครองตั้งแต่ขณะนั้น โจทก์มิได้ดำเนินการอย่างไร คงปล่อยปละละเลยเพิ่งมาฟ้องคดีขอให้เพิกถอนโฉนดและขับไล่จำเลยเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2517 เกิน 1 ปีนับแต่ถูกแย่งสิทธิครอบครองโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาทจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2316/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับคำคัดค้านหลังกำหนดเวลา และการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดิน
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องของผู้ร้องหลังกำหนดเวลาตามที่ศาลประกาศ แต่ก่อนมีการสืบพยานผู้ร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำคัดค้านนั้น ดังนี้ ศาลชั้นต้นมีอำนาจทำได้ไม่ใช่ขยายระยะเวลา หรือขัดต่อกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความ
เมื่อผู้คัดค้านเป็นฝ่ายใช้สิทธิครอบครองที่พิพาท การที่ผู้ร้องยึดถือโฉนดและเสียภาษีบำรุงท้องที่ที่พิพาทเข้าไปตัดฟืนตัดจากเป็นครั้งคราว ย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองแก่ผู้ร้อง
เมื่อผู้คัดค้านเป็นฝ่ายใช้สิทธิครอบครองที่พิพาท การที่ผู้ร้องยึดถือโฉนดและเสียภาษีบำรุงท้องที่ที่พิพาทเข้าไปตัดฟืนตัดจากเป็นครั้งคราว ย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองแก่ผู้ร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2220/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งไม่อนุญาตยื่นคำให้การใหม่ไม่ใช่คำสั่งตามมาตรา 18 ไม่สามารถอุทธรณ์ตามมาตรา 228(3) ได้
เมื่อศาลชั้นต้นไม่รับคำให้การของจำเลยเพราะยื่นพ้นกำหนด 8 วันแล้ว จำเลยหาได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวนั้นไม่ แต่จำเลยกลับยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การใหม่ อ้างว่าจำเลยไม่มีเจตนาจงใจไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยแล้ว มีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การใหม่ คำสั่งของศาลชั้นต้นครั้งใหม่ที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การตามคำร้องนี้ไม่ใช่คำสั่งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ที่จำเลยจะใช้สิทธิตามมาตรา 228(3) อุทธรณ์ได้ แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยอุทธรณ์คำสั่งนั้นทันทีไม่ได้ตามมาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1990/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเฉลี่ยทรัพย์สินจากการบังคับคดี: กำหนดเวลาและข้อยกเว้นตามมาตรา 290 วรรคสี่
จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์จำเลย และในวันที่ 20 มิถุนายน 2518 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลอายัดเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัด น. ซึ่งจำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นเงินค่าก่อสร้างจำนวน 52,600 บาท ซึ่งจะได้รับจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ศาลชั้นต้นออกหมายอายัดในวันที่โจทก์ยื่นคำร้องและสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดส่งเงินต่อศาลภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันได้รับคำสั่งวันที่ 3 กรกฎาคม 2518 ผู้ว่าราชการจังหวัดส่งเงิน 52,600 บาทมาให้ตามหมายอายัด หนังสือนำส่งเงินมาถึงศาลชั้นต้นในวันที่ 4 กรกฎาคม 2518 ต่อมาวันที่ 14 กรกฎาคม 2518 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเงิน 52,600 บาท ดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ดังนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเงินที่พิพาทหลังจากวันที่ศาลชั้นต้นได้รับเงินไว้แล้วถึง 9 หรือ 10 วัน ล่วงพ้นกำหนดเวลาตามความในตอนต้นของมาตรา 290 วรรคสี่ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว
การที่ผู้ร้องเพิ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2518 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ ศาลชั้นต้นได้รับเงินที่อายัดไว้แล้วนั้นย่อมถือไม่ได้ว่าเป็น "กรณีใด" ดังที่บัญญัติไว้ตอนท้ายของมาตรา 290 วรรคสี่ ตรงกันข้ามกลับจะแสดงว่าในวันที่ศาลชั้นต้นสั่งให้อายัดเงินที่พิพาทก็ดี หรือวันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดส่งเงินมาให้ศาลก็ดี ผู้ร้องยังหาได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีสิทธิที่จะยื่นคำขอเฉลี่ยเงินจำนวนพิพาทไม่ คำว่า "กรณีใด ๆ " ในตอนท้ายของมาตรา 290 วรรคสี่นั้นเป็นเพียงข้อยกเว้นของตอนต้นเท่านั้น เมื่อกรณีใดต้องด้วยข้อความในตอนต้นโดยตรงแล้ว ก็ย่อมจะนำข้อยกเว้นมาใช้แก่กรณีนั้นอีกไม่ได้
การที่ผู้ร้องเพิ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2518 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ ศาลชั้นต้นได้รับเงินที่อายัดไว้แล้วนั้นย่อมถือไม่ได้ว่าเป็น "กรณีใด" ดังที่บัญญัติไว้ตอนท้ายของมาตรา 290 วรรคสี่ ตรงกันข้ามกลับจะแสดงว่าในวันที่ศาลชั้นต้นสั่งให้อายัดเงินที่พิพาทก็ดี หรือวันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดส่งเงินมาให้ศาลก็ดี ผู้ร้องยังหาได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีสิทธิที่จะยื่นคำขอเฉลี่ยเงินจำนวนพิพาทไม่ คำว่า "กรณีใด ๆ " ในตอนท้ายของมาตรา 290 วรรคสี่นั้นเป็นเพียงข้อยกเว้นของตอนต้นเท่านั้น เมื่อกรณีใดต้องด้วยข้อความในตอนต้นโดยตรงแล้ว ก็ย่อมจะนำข้อยกเว้นมาใช้แก่กรณีนั้นอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1990/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเฉลี่ยทรัพย์สินจากการบังคับคดี: ผู้ร้องต้องยื่นคำขอภายในกำหนดตามกฎหมาย แม้เป็นเจ้าหนี้รายใหม่
จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์จำเลย และในวันที่ 20 มิถุนายน2518 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลอายัดเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัด น.ซึ่งจำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นเงินค่าก่อสร้างจำนวน 52,600 บาท ซึ่งจะได้รับจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ศาลชั้นต้นออกหมายอายัดในวันที่โจทก์ยื่นคำร้องและสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดส่งเงินต่อศาลภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันได้รับคำสั่งวันที่ 3 กรกฎาคม 2518 ผู้ว่าราชการจังหวัดส่งเงิน 52,600 บาทมาให้ตามหมายอายัด หนังสือนำส่งเงินมาถึงศาลชั้นต้นในวันที่ 4 กรกฎาคม 2518 ต่อมาวันที่ 14 กรกฎาคม 2518 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเงิน 52,600 บาท ดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ดังนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเงินที่พิพาทหลังจากวันที่ศาลชั้นต้นได้รับเงินไว้แล้วถึง 9 หรือ 10 วันล่วงพ้นกำหนดเวลาตามความในตอนต้นของมาตรา 290 วรรคสี่แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว
การที่ผู้ร้องเพิ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2518 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ศาลชั้นต้นได้รับเงินที่อายัดไว้แล้ว นั้นย่อมถือไม่ได้ว่าเป็น " กรณีใด" ดังที่บัญญัติไว้ในตอนท้ายของมาตรา 290วรรคสี่ ตรงกันข้ามกลับจะแสดงว่าในวันที่ศาลชั้นต้นสั่งให้อายัดเงินที่พิพาทก็ดี หรือวันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดส่งเงินมาให้ศาลก็ดี ผู้ร้องยังหาได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีสิทธิที่จะยื่นคำขอเฉลี่ยเงินจำนวนพิพาทไม่ คำว่า"กรณีใดๆ" ในตอนท้ายของมาตรา 290 วรรคสี่นั้นเป็นเพียงข้อยกเว้นของตอนต้นเท่านั้น เมื่อกรณีใดต้องด้วยข้อความในตอนต้นโดยตรงแล้ว ก็ย่อมจะนำข้อยกเว้นมาใช้แก่กรณีนั้นอีกไม่ได้
การที่ผู้ร้องเพิ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2518 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ศาลชั้นต้นได้รับเงินที่อายัดไว้แล้ว นั้นย่อมถือไม่ได้ว่าเป็น " กรณีใด" ดังที่บัญญัติไว้ในตอนท้ายของมาตรา 290วรรคสี่ ตรงกันข้ามกลับจะแสดงว่าในวันที่ศาลชั้นต้นสั่งให้อายัดเงินที่พิพาทก็ดี หรือวันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดส่งเงินมาให้ศาลก็ดี ผู้ร้องยังหาได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีสิทธิที่จะยื่นคำขอเฉลี่ยเงินจำนวนพิพาทไม่ คำว่า"กรณีใดๆ" ในตอนท้ายของมาตรา 290 วรรคสี่นั้นเป็นเพียงข้อยกเว้นของตอนต้นเท่านั้น เมื่อกรณีใดต้องด้วยข้อความในตอนต้นโดยตรงแล้ว ก็ย่อมจะนำข้อยกเว้นมาใช้แก่กรณีนั้นอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ยื่นระบุพยานตามกำหนด ทำให้ศาลไม่รับให้สืบพยาน โจทก์จึงไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้
นัดสืบพยานจำเลยก่อนในวันที่ 24 ธันวาคม โจทก์ต้องยื่นระบุพยานอย่างช้าวันที่ 20 โจทก์ยื่นระบุพยานวันที่ 23 โดยมิได้แสดงเหตุสมควรอันใดศาลไม่รับและไม่ให้โจทก์นำสืบพยาน ศาลสืบพยานจำเลยแล้ว พิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งคำสั่งเจ้าพนักงานที่ดินเกี่ยวกับมรดกที่ดิน ไม่ตัดสิทธิโจทก์หากไม่ฟ้องใน 60 วัน
โจทก์ขอรับใบแทนโฉนดและรับมรดกที่ดิน จำเลยคัดค้านเจ้าพนักงานที่ดินสั่งให้โจทก์ฟ้องใน 60 วัน ตาม ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 81 โจทก์ไม่ฟ้องในกำหนด ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องภายหลังกำหนดนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1678/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดชำระภาษีและผลกระทบต่อสิทธิในคดีล้มละลาย
หนี้ค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการค้า และเงินเพิ่มที่เจ้าพนักงานประเมินเพราะยื่นรายการไม่ถูกต้อง ถือว่าถึงกำหนดชำระตั้งแต่ครบ 150 วัน นับตั้งแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65,68,69 มิใช่ตั้งแต่วันที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งให้ผู้ต้องเสียภาษีทราบ ถ้าเกิน 6 เดือนก็ไม่มีบุริมสิทธิตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 130(6)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1429-1430/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิไถ่คืนการขายฝากที่ไม่มีกำหนดเวลา และข้อยกเว้นค่าเสียหายจากการครอบครอง
โจทก์ขายฝากห้องพิพาทโดยไม่มีกำหนดเวลาไถ่ โจทก์จึงมีสิทธิขอไถ่ได้ภายในกำหนด 10 ปี และที่โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ซื้อฝากไปที่ว่าการอำเภอตามวันเวลาที่กำหนดเพื่อไถ่ถอนการขายฝาก ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน จำเลยได้รับแล้ว แม้จะคืนหนังสือนั้นไปก็ฟังว่าจำเลยได้ทราบการขอไถ่ และถือว่าโจทก์ใช้สิทธิไถ่คืนโดยชอบแล้ว
การที่จำเลยผู้ซื้อฝากให้โจทก์ผู้ขายฝากเช่าห้องพิพาทและต่อมาไม่ยอมให้โจทก์ไถ่คืน โจทก์ย่อมไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหาย ที่ไม่ยอมออกจากห้องพิพาทที่เช่านั้นนับแต่วันที่โจทก์ใช้สิทธิไถ่คืนโดยชอบแล้ว
การที่จำเลยผู้ซื้อฝากให้โจทก์ผู้ขายฝากเช่าห้องพิพาทและต่อมาไม่ยอมให้โจทก์ไถ่คืน โจทก์ย่อมไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหาย ที่ไม่ยอมออกจากห้องพิพาทที่เช่านั้นนับแต่วันที่โจทก์ใช้สิทธิไถ่คืนโดยชอบแล้ว