พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6,814 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6293/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบเงินจากความผิดยาเสพติด: ศาลมีอำนาจริบทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิด แม้ไม่ได้ระบุในคำฟ้อง
เงินสดของกลางจำนวน 2,860 บาท เป็นเงินที่จำเลย ได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แก่บุคคลอื่นก่อนกระทำความผิดคดีนี้ เงินสดของกลางจำนวน 2,860 บาทจึงเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยได้กระทำความผิดเพราะการขายเมทแอมเฟตามีนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งคดีนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยในข้อหาจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแม้ศาลจะไม่มีอำนาจสั่งริบเงินสดของกลางจำนวน2,860 บาท ตามบทบัญญัติแห่ง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 102 ซึ่งเป็นบทเฉพาะเนื่องจากเงินสดดังกล่าวมิใช่เครื่องมือเครื่องใช้ยานพาหนะหรือวัตถุอื่นที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษก็ตาม แต่เงินสดของกลางดังกล่าวจำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แม้จะไม่ได้มาโดยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนในคดีนี้โดยตรงก็ตามศาลก็มีอำนาจริบเงินสด ของกลางจำนวน 2,860 บาท ได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2) แม้โจทก์จะมิได้ระบุมาตราดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้อง แต่เมื่อเป็นอำนาจของศาลการสั่งริบของกลางดังกล่าวจึงหาเป็นการสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 192 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6255/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและมีวัตถุระเบิด ศาลฎีกาแก้ไขการลงโทษให้ถูกต้องตามกฎหมาย
การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองและใช้วัตถุระเบิดดังกล่าวไปกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ถือว่าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคสาม และเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียว แต่มีความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคสามซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงกรรมเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6233/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานเสพและมีเมทแอมเฟตามีนครอบครอง: การพิจารณาเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยจำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธี สูดดมควันและมีเมทแอมเฟตามีนซึ่งติดอยู่ที่กระดาษตะกั่ว มีรอยเผาไหม้จำนวน 1 ชิ้น ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ฟ้องของโจทก์จึงเป็นกรณีที่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องย่อมหมายความว่าจำเลยรับว่าได้กระทำความผิดทั้งสองกรรม ซึ่งเป็นความผิดต่างฐานกัน แม้เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยเสพ และมีไว้ในครอบครองเป็นจำนวนเดียวกันก็ถือว่าการกระทำ ดังกล่าวเป็นความผิดสองกรรม หาใช่กรรมเดียวไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6207/2541 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพาเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปทำงานโดยไม่สุจริต ไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็ก
เด็กชาย ด.มีอายุไม่เกิน 15 ปี หลังจากบิดามารดาของเด็กชาย ด.ถึงแก่ความตาย ผู้เสียหายซึ่งเป็นพี่สาวของบิดาเด็กชาย ด.เป็นผู้ดูแลเด็กชาย ด.ตลอดมา การที่ผู้เสียหายเป็นผู้อนุญาตให้จำเลยพาเด็กชาย ด.ไปทำงานที่กรุงเทพมหานครตามที่จำเลยร้องขอ ไม่ปรากฏเลศนัยอันส่อให้เห็นถึงความไม่สุจริตของจำเลย ดังนี้ การที่จำเลยพาเด็กชาย ด.ไป การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแลตาม ป.อ.มาตรา 317 วรรคแรก ส่วนกรณีที่เด็กชาย ด.ได้หายไปหลังจากไปอยู่กรุงเทพมหานครนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ไม่ทำให้จำเลยต้องรับผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6207/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ต้องพิจารณาการยินยอมของผู้ปกครองหรือผู้ดูแล หากมีการยินยอม การกระทำนั้นไม่เป็นความผิด
เด็กชาย ด. มีอายุไม่เกิน 15 ปี หลังจากบิดามารดาของเด็กชาย ด. ถึงแก่ความตาย จ. ผู้เสียหายซึ่งเป็นพี่สาวของบิดาเด็กชาย ด.ได้เป็นผู้ดูแลเด็กชายด. ตลอดมา จ. อนุญาตให้จำเลยพาเด็กชาย ด. ไปทำงานที่กรุงเทพมหานครตามที่จำเลยร้องขอ ไม่ปรากฏว่า การขออนุญาตของจำเลยดังกล่าวมีเลศนัยอันส่อให้เห็น ถึงความไม่สุจริตของจำเลยแต่อย่างใด การที่ จ. อนุญาตให้จำเลยพาเด็กชาย ด. ไป ทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจาก ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก ส่วนกรณีที่เด็กชาย ด. ได้หายไปหลังจากไปอยู่กรุงเทพมหานครกับจำเลยนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ไม่ทำให้จำเลย ต้องรับผิดตามบทมาตราดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6207/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี: การยินยอมของผู้ดูแลทำให้ไม่เป็นความผิด
เด็กชายด. มีอายุไม่เกิน 15 ปี หลังจากบิดามารดาของเด็กชายด. ถึงแก่ความตาย ผู้เสียหายซึ่งเป็นพี่สาวของบิดาเด็กชายด.เป็นผู้ดูแลเด็กชายด.ตลอดมาการที่ผู้เสียหายเป็นผู้อนุญาตให้จำเลยพาเด็กชายด. ไปทำงานที่กรุงเทพมหานครตามที่จำเลยร้องขอ ไม่ปรากฏเลศนัยอันส่อให้เห็นถึงความไม่สุจริตของจำเลย ดังนี้ การที่จำเลยพาเด็กชายด. ไป การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจาก ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรกส่วนกรณีที่เด็กชายด. ได้หายไปหลังจากไปอยู่กรุงเทพมหานครนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ไม่ทำให้จำเลยต้องรับผิด ตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6175/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คเพื่อชำระหนี้เดิมและการออกเช็คใหม่เพื่อชำระหนี้เดิมที่ไม่มีเงินในบัญชีเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
แม้การที่จำเลยทั้งสองเอาเช็คไปแลกเงินสดจากโจทก์ การออกเช็คของจำเลยดังกล่าวจะมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อ ชำระหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมายก็ตาม แต่เมื่อ ไม่มีการชำระเงินตามเช็คที่จำเลยทั้งสองสั่งจ่าย ย่อมเกิด เป็นหนี้ระหว่างจำเลยทั้งสองกับโจทก์ตามจำนวนเงินที่ระบุ ในเช็คนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 898,900 ซึ่งในกรณีนี้หากจำเลยทั้งสองออกเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้ ตามเช็คเดิมที่จำเลยทั้งสองออกให้แก่โจทก์ดังกล่าว เช็คที่ จำเลยออกในภายหลังนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย อันเป็นความผิด ตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6148/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้โทรศัพท์และวิทยุสื่อสารในการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ถือเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำผิดตามกฎหมาย
การที่ผู้คัดค้านได้ใช้โทรศัพท์มือถือและวิทยุติดตามตัวของตนในการติดต่อประสานงานเพื่อให้ได้รับผลในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โทรศัพท์มือถือและวิทยุติดตามตัวดังกล่าวจึงเป็นอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการกระทำความผิดต้องริบตามมาตรา 30แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 614/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กฎหมายอาญาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด: กฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดมีผลเหนือกว่ากฎหมายที่ใช้ภายหลัง
ความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขาย ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดเป็นความผิดตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง มีโทษตามมาตรา 89 คือต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 400,000 บาท แต่ข้อหาฐานมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกิน 100 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด เป็นความผิดตามมาตรา 15 วรรคสอง มีโทษตามมาตรา 66 วรรคหนึ่งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 50,000 บาทถึง 500,000 บาท เป็นกรณีที่กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดเช่นเดียวกันต้องใช้พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,83 อันเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 วรรคหนึ่ง มาปรับบทลงโทษจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6124/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งปลดข้าราชการชอบด้วยกฎหมาย มีพยานหลักฐานยืนยันการกระทำผิด
ตามสำนวนการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงและการสอบสวนทางวินัย ปรากฏว่าทางราชการได้ดำเนินการสืบสวน ความผิดของโจทก์ไปตามระเบียบและขั้นตอน ของกฎหมายเริ่มตั้งแต่มีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน หาข้อเท็จจริงคณะกรรมการได้สอบปากคำพยานบุคคล และเอกสารผู้เกี่ยวข้อง เมื่อเห็นว่ามีมูลความจริงแล้ว จำเลยจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 86 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 ที่แก้ไขแล้ว แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ ซึ่งคณะกรรมการ ก็ได้สอบสวนทั้งพยานบุคคลจำนวนหลายปากและพยานเอกสาร ได้ความสอดรับกันตั้งแต่ต้น แล้วจำเลยมีคำสั่งปลดโจทก์ ออกจากราชการ เมื่อเป็นคำสั่งที่อาศัยผลจากการสอบสวน ทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยที่จำเลย ตั้งขึ้นตามกฎหมาย ซึ่งมีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารยืนยันกัน ว่าโจทก์มีส่วนร่วมในการเรียกเอาทรัพย์ตามที่ถูกกล่าวหาแม้ต่อมาโจทก์จะได้อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยต่อคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) แต่ในที่สุดนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการดังกล่าวก็มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์เสีย ดังนี้ ที่โจทก์อ้างว่าคำสั่งของจำเลยเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นคำสั่งที่ปราศจากพยานหลักฐานที่จะยืนยันว่าโจทก์ได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาจึงไม่เป็นความจริงจึงชอบที่ศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์