พบผลลัพธ์ทั้งหมด 790 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 247/2481
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการถอดถอนผู้จัดการมฤดกที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล โดยอาศัยข้อตกลงระหว่างคู่ความ
+ส่วนได้เสียในกอง+ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ผู้จัดการมฤดกแสดงบัญชีและถ้าไม่นำมายื่นก็ขอให้ถอดถอน ผู้จัดากรมฤดก+เพี้ยนมาหลายครั้ง ในที่สุดให้ตกลงกันกำหนดวัน+บัญชีต่อหน้าศาล และถ้าไม่นำมายื่นในวันนั้นก็ให้ศาลถอดถอนได้ ครั้นถึงกำหนดผู้จัดการมฤดกไม่นำบัญชีมายื่นผู้ร้องจึงขอให้ศาลสั่งตามที่ได้ตกลงกันไว้ดังนี้ ศาลมีคำสั่งให้ถอดถอนผู้จัดการมฤดกเสียได้ ไม่เป็นการเกินคำขอของผู้ร้อง
ศาลตั้งผู้จัดการมฤดกก่อนกันใช้ประมวลแพ่ง ฯ บรรพ 6 ศษลจะสั่งถอดถอนผู้จัดการมฤดกนั้นโดยอาศัย ม.1731 ได้หรือไม่
ศาลตั้งผู้จัดการมฤดกก่อนกันใช้ประมวลแพ่ง ฯ บรรพ 6 ศษลจะสั่งถอดถอนผู้จัดการมฤดกนั้นโดยอาศัย ม.1731 ได้หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2480
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บุคคลภายนอกไม่มีอำนาจคัดค้านคำสั่งศาลหากไม่ได้รับกระทบโดยตรง
ผู้ร้องสอดโจทก์จำเลยพิพาทกันด้วยเรื่องที่ดิน ศาลสั่งให้บุคคลภายนอกเป็นผู้มีอำนาจบอกเลิกการเช่ากับผู้เช่าในที่พิพาทได้ ดังนี้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เช่าจะยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งศาลโดยปรากฎว่ายังมิได้มีการบอกเลิกสัญญากับผู้ร้องเลยไม่ได้เพราะยังไม่มีฐานะที่จะสอดเข้ามาเกี่ยวข้องในคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2477
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงขยายผลถึงคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีอาญา
คดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามกฎหมายข้างบนนี้ย่อมกินความถึงคดีมีคำสั่งด้วยเพราะมีลักษณวิธีการดำเนินเช่นเดียวกับคำพิพากษาคดีที่ศาลเดิมไต่สวนพะยานชั้นมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูลจึงให้ยกฟ้องโจทก์นั้นถ้าเป็นคดีมีโทษต้องด้วยข้อห้ามของพระราชบัญญัติลักษณอุทธรณ์แล้วโจทก์อุทรธรณ์ในข้อเท็จจริงไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1005/2477
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์คำสั่งอนุญาตฟ้องความอนาถา และอำนาจศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเบื้องต้น
โจทก์ร้องขอฟ้องความอย่างอนาถาศาลสั่งอนุญาตอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ อ้างคำสั่งคำร้องที่ 134/2476 อำนาจศาลฎีกา ดุลยพินิจ ข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดมานั้น ศาลฎีกาทรงไว้ซึ่งอำนาจที่จะวินิจฉัยเสียเองได้อ้างฎีกาที่ 845/2476
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 652/2475
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องร่วม: การถอนชื่อโจทก์ร่วมที่ไม่ได้อุทธรณ์คำสั่งศาล
อำนาจฟ้อง คนนอกสำนวนขอเข้าเป็นโจทก์เมื่อสืบพะยานไปแล้ว 1 ปาก คู่ความคนใดไม่อุทธรณ์เมื่อศาลอุทธรณ์สั่งย้อนสำนวนให้พิจารณาใหม่ ศาลสั่งให้ถอนชื่อผู้นั้นได้
เห็นว่าเป็นคำสั่งระวางพิจารณาตามฎีกาที่ย่อทราบเรียนมา+
เห็นว่าเป็นคำสั่งระวางพิจารณาตามฎีกาที่ย่อทราบเรียนมา+
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2474
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีส่วนตัวเริ่มนับจากคำสั่งศาล
การตั้งต้นนับอายุความผิดส่วนตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2474
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งศาล แม้เป็นการทำหลักฐานเท็จ คดีไม่มีมูล
ทำหลักฐานเท็จ คดีมีมูลจะรับไว้พิจารณาหรือไม่เป็นปัญหากฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2473
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์จำกัดเฉพาะคำสั่งที่ถูกอุทธรณ์ภายในกำหนด หากพ้นกำหนดแล้วศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัย
อำนาจศาลอุทธรณ์เมื่อศาลเดิมมีคำสั่งอย่างใด ถ้าคู่กรณีย์ไม่อุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนดอุทธรณ์แล้วศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจที่จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งซึ่งคู่กรณีย์ได้ยื่นเมื่อพ้นกำหนดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9251/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกข้ามประเทศและการทิ้งฟ้องคดี: การพิสูจน์ฐานะตัวแทนและการปฏิบัติตามคำสั่งศาล
แม้จำเลยที่ 1 จะเรียกเก็บค่าระวางจากผู้เอาประกันภัยแทนจำเลยที่ 2 รวมทั้งดำเนินการทางพิธีการศุลกากร แจ้งการมาถึงของเรือและออกใบสั่งปล่อยสินค้าให้แก่ผู้เอาประกันภัยซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่จำเลยที่ 1 กระทำการแทนจำเลยที่ 2 เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ตกลงร่วมกันรับขนที่ฟ้องร้องในคดีนี้เท่านั้น ไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ อันจะทำให้อาจส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องตั้งต้นคดีให้แก่จำเลยที่ 2 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 83 ทวิ วรรคหนึ่ง การที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่ 2 ณ สำนักทำการงานของจำเลยที่ 1 เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดหลง จึงมีคำสั่งให้แก้ไขกระบวนพิจารณาที่ผิดหลงดังกล่าว โดยให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 โดยทำเป็นคำร้อง พร้อมกับคำร้องขอส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่ 2 ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของจำเลยที่ 2 นอกราชอาณาจักร ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง โดยให้โจทก์ทำคำแปลหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเป็นภาษาราชการของประเทศที่จำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาหรือภาษาอังกฤษพร้อมคำรับรองคำแปลว่าถูกต้องและวางเงินค่าใช้จ่ายเพื่อส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องผ่านสำนักงานศาลยุติธรรมและกระทรวงการต่างประเทศต่อไป จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 83 ทวิ และมาตรา 83 จัตวา
โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาสืบหาภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ไปถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2558 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2558 โจทก์ก็ไม่ดำเนินการภายในกำหนดตามคำสั่งศาลที่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งยื่นคำโต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาล ย่อมเป็นการที่โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้น ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ดังนั้น ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและจำหน่ายคดีของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 83 จัตวา วรรคหนึ่ง และวรรคสาม มาตรา 174 (2) และมาตรา 132 (1)
โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาสืบหาภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ไปถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2558 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2558 โจทก์ก็ไม่ดำเนินการภายในกำหนดตามคำสั่งศาลที่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งยื่นคำโต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาล ย่อมเป็นการที่โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้น ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ดังนั้น ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและจำหน่ายคดีของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 83 จัตวา วรรคหนึ่ง และวรรคสาม มาตรา 174 (2) และมาตรา 132 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5884/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลล้มละลายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามข้อสันนิษฐานของ พ.ร.บ.ล้มละลาย
อุทธรณ์ของจำเลยเป็นการโต้แย้งคำสั่งของศาลล้มละลายกลางเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลในการสืบพยานโจทก์และการรับฟังพยานหลักฐานโจทก์ เมื่อคำสั่งของศาลล้มละลายกลางดังกล่าวมิใช่คำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดที่ยกเว้นให้อุทธรณ์ได้ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 24 วรรคสอง (1) ถึง (5) อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ทั้งศาลฎีกาพิจารณาแล้วไม่มีกรณีจำเป็นต้องแก้ไขข้อผิดพลาดตามมาตรา 26 วรรคสี่ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 10 กันยายน 2552 ซึ่งศาลจังหวัดพระโขนงพิพากษาตามยอม รวม 4 คดี จำเลยตกลงยินยอมชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยและค่าทนายความแก่โจทก์และเจ้าหนี้อื่นอีก 3 ราย ภายในวันที่ 10 กันยายน 2557 ซึ่งเป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการที่จำเลยเสนอคำขอประนอมหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่สองคนขึ้นไป กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 8 (8) ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
ตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 10 กันยายน 2552 ซึ่งศาลจังหวัดพระโขนงพิพากษาตามยอม รวม 4 คดี จำเลยตกลงยินยอมชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยและค่าทนายความแก่โจทก์และเจ้าหนี้อื่นอีก 3 ราย ภายในวันที่ 10 กันยายน 2557 ซึ่งเป็นระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการที่จำเลยเสนอคำขอประนอมหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่สองคนขึ้นไป กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 8 (8) ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว