คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำให้การ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 713 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8572/2563

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากเด็กเพื่ออนาจาร – การกระทำความผิดหลายกรรม – เจตนาต่างกัน – การรับคำให้การในชั้นสอบสวน
จำเลยชักชวนผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาออกจากห้องเช่าของผู้เสียหายที่ 1 ไปเล่นโทรศัพท์ในห้องเช่าของจำเลยซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน ไม่ว่าจะขออนุญาตผู้เสียหายที่ 1 หรือไม่ เมื่อผู้เสียหายที่ 2 ถูกจำเลยพาไปพยายามกระทำชำเรา ถือได้ว่าเป็นการพาและแยกเด็กไปจากความปกครองดูแล และล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 1 อันเป็นความหมายของคำว่า "พราก" แล้ว จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคสาม
จำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายที่ 2 ไปเสียจากผู้เสียหายที่ 1 เพื่อการอนาจาร เป็นเจตนาที่กระทำต่อผู้เสียหายที่ 1 มารดาของผู้เสียหายที่ 2 ส่วนที่จำเลยเจตนากระทำอนาจารและพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 เป็นเจตนาต่างหากจากเจตนาพรากผู้เสียหายที่ 2 ไป มิใช่กระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน จึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2563

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานการกระทำชำเราเด็ก และความน่าเชื่อถือคำให้การผู้เสียหาย
จำเลยได้รับสำเนาคำฟ้องซึ่งโจทก์ได้แนบสำเนารายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ไปท้ายฟ้องแล้ว และในวันนัดพร้อมจำเลยก็แถลงรับในรายงานกระบวนพิจารณาว่าแพทย์ได้ตรวจร่างกายผู้เสียหายและทำรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ไว้จริง เมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจนำสืบแพทย์ จำเลยก็มิได้แถลงเป็นอย่างอื่น ถือว่าคู่ความไม่ติดใจซักถามแพทย์ รายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ได้ โดยแพทย์ไม่จำต้องมาเบิกความประกอบพยานเอกสารดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1270/2563 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2562

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบประเด็นนอกคำให้การ: จำเลยอ้างเหตุไม่ชำระค่าจ้างหลังการสืบพยาน ศาลฎีกาห้าม
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างปรับปรุงถนนและภูมิทัศน์ภายในมหาวิทยาลัยพะเยา โจทก์ไม่ใช่ผู้ก่อสร้าง เอกสารราคาค่าก่อสร้างเป็นการกะประมาณราคา ไม่ใช่ราคาวัสดุและค่าแรงงานที่โจทก์ได้จ่ายไปจริง โจทก์ไม่ได้เป็นผู้รับเหมาช่วงหรือลูกจ้าง หรือคู่สัญญากับจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองเป็นผู้ก่อสร้างโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสองเองทั้งสิ้น ซึ่งเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองให้การอ้างเหตุแห่งการปฏิเสธว่า จำเลยทั้งสองไม่ต้องใช้ค่าเสียหายหรือค่าจ้างแก่โจทก์เพราะโจทก์ไม่ได้เป็นผู้รับเหมาช่วงหรือคู่สัญญากับจำเลยทั้งสอง มิได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธว่าโจทก์ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จแต่อย่างใด การที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า โจทก์ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จจึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า จำเลยทั้งสองไม่ต้องชำระค่าจ้างเนื่องจากโจทก์ทำงานไม่แล้วเสร็จ จึงถือได้ว่าเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2562

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับคำให้การของผู้ถูกฟ้องที่ถูกส่งหมายเรียกไปยังที่อยู่เดิม แม้จะย้ายที่อยู่ไปแล้ว มีเหตุสมควร
จำเลยย้ายไปอยู่บ้านอีกแห่งห่างออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร จากบ้านมารดา เป็นเวลา 3 ปี แล้ว แต่ยังคงมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านมารดา ก่อนถูกฟ้องจำเลยเคยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์เนื่องจากไปเยี่ยมมารดาที่บ้าน เมื่อฟ้องคดีโจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปยังที่อยู่ตามทะเบียนบ้านและน้องเขยจำเลยเป็นผู้รับแทน จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องเนื่องจากหลานจำเลยนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องมาให้ ซึ่งโจทก์ก็มิได้นำสืบพยานว่าจำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านใหม่ตามที่จำเลยอ้าง เมื่อจำเลยทราบนัดสืบพยานโจทก์และนัดไกล่เกลี่ยจำเลยและทนายความมาศาล และเมื่อปรากฏว่าที่ดินที่ตกลงซื้อขายเป็นที่ดินแจ้งเสียภาษีบำรุงท้องที่โดยจำเลยเป็นผู้แจ้งระบุว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน โดยโจทก์ได้ใช้ที่ดินนับแต่ตกลงซื้อจากจำเลยตั้งแต่ปี 2551 จนปี 2557 มีบุคคลอื่นมาโต้แย้ง โจทก์กลับยอมตามที่ผู้อื่นโต้แย้งและฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้หลังจากทำสัญญาซื้อขาย 8 ปี 1 เดือนเศษ จึงมีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและรับคำให้การจำเลยไว้พิจารณา ตาม ป.วิ.พ มาตรา 199 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8714/2560

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐาน: คำให้การในชั้นสอบสวนหักล้างคำเบิกความในชั้นศาลได้ หากมีเหตุผลน่าเชื่อถือ
ข้อห้ามมิให้รับฟังพยานบอกเล่าตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 เป็นกรณีที่มีการอ้างพยานบอกเล่าต่อศาลโดยนำเสนอเพื่อพิสูจน์ความจริงแห่งข้อความที่บอกเล่านั้น คดีนี้โจทก์ร่วมมาเบิกความต่อศาลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่รู้เห็นด้วยตนเองโดยตรง ถือเป็นประจักษ์พยาน แต่เบิกความกลับคำให้การในชั้นสอบสวนว่าจำเลยมิใช่คนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม จึงเป็นกรณีนำสืบคำให้การในชั้นสอบสวนเพื่อพิสูจน์ว่าโจทก์ร่วมเล่าเหตุการณ์ให้พนักงานสอบสวนบันทึกไว้อย่างไร มิใช่การพิสูจน์ความจริงแห่งข้อความที่บอกเล่า อันจะต้องห้ามมิให้รับฟัง เช่นนี้ศาลจึงสามารถรับฟังบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนนั้นได้ในฐานะคำกล่าวนอกศาลที่ขัดแย้งกับคำเบิกความของโจทก์ร่วมเพื่อหักล้างคำเบิกความในชั้นศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8324/2560

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิถอนฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 175 ศาลอนุญาตได้แม้จำเลยคัดค้านหากยังไม่ได้ยื่นคำให้การ
ป.วิ.พ. มาตรา 175 ไม่ได้ระบุให้โจทก์ต้องแสดงเหตุผลในการถอนฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องในระหว่างการไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว โดยจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดี เป็นการใช้สิทธิขอถอนฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 175 วรรคหนึ่ง ศาลมีอำนาจสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ได้โดยไม่จำต้องฟังจำเลยที่ 2 ก่อน แม้จำเลยที่ 2 จะยื่นคำคัดค้านคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์ แต่คำคัดค้านมิใช่คำให้การตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 จึงชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6216/2560

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบรถยนต์และโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการขนส่งยาเสพติดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ โดยพิจารณาจากคำให้การชั้นสอบสวนและพยานหลักฐาน
แม้บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่าแต่ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อม น่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ เพราะจำเลยทั้งสองให้การในชั้นสอบสวนหลังเกิดเหตุใกล้ชิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงไม่มีเวลาคิดปรุงแต่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น และในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 2 ยังคงเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 รับจ้างขนเมทแอมเฟตามีนโดยใช้รถกระบะของกลางเป็นยานพาหนะ และใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ติดต่อรับขนและรับส่งเมทแอมเฟตามีน โดยไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะให้การโดยไม่เป็นความจริง กรณีจึงมีเหตุผลอันหนักแน่นมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองใช้รถกระบะของกลางเป็นยานพาหนะไปรับขนเมทแอมเฟตามีนเพื่อนำไปส่งมอบให้แก่ผู้รับ โดยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางในการติดต่อกับ ส. และผู้มาส่งเมทแอมเฟตามีนของกลาง รถกระบะของกลางจึงเป็นยานพาหนะที่จำเลยทั้งสองได้ใช้ในการขนส่งเมทแอมเฟตามีน และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางเป็นเครื่องมือสื่อสารที่จำเลยทั้งสองได้ใช้ในการติดต่อรับและส่งเมทแอมเฟตามีนของกลาง รถกระบะและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางจึงเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ ที่จำเลยทั้งสองได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ อันพึงต้องริบตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 444/2560

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนที่ดินมรดก: คำให้การไม่ชัดเจนเรื่องอายุความ และการจัดการมรดกโดยไม่ชอบ
ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง กำหนดให้จำเลยทั้งสองแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยทั้งสองยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธนั้น ดังนั้น นอกจากจำเลยทั้งสองจะต้องให้การโดยชัดแจ้งว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว จำเลยทั้งสองต้องให้การโดยแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความให้ปรากฏด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองให้การเพียงว่า มารดาจำเลยที่ 2 ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2510 เป็นต้นมา เมื่อมารดาถึงแก่ความตายจำเลยที่ 2 ได้ครอบครองทำประโยชน์ถึงปัจจุบันโจทก์ไม่เคยโต้แย้งและคัดค้าน โจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่านับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายมีทรัพย์มรดกอะไรบ้างรวมทั้งที่ดินพิพาทด้วย ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ คำให้การของจำเลยทั้งสองในส่วนนี้จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น จึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยประเด็นนี้ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ ก็ไม่ทำให้เกิดประเด็นเรื่องอายุความและเป็นการไม่ชอบ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3753/2560

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การของผู้ต้องหาในคดียาเสพติดเป็นพยานหลักฐานได้ และการกระทำร่วมกันมีเจตนาครอบครองเพื่อจำหน่าย
การกล่าวหาและจับกุมจำเลยดำเนินคดีนี้ แม้มีมูลเหตุสืบเนื่องมาจากคำซัดทอดของ ศ. ที่ถูกจับกุมในคดีอื่น แต่ ศ. ให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนในคดีที่ ศ. เป็นผู้ต้องหาในวันเดียวกับวันที่ถูกจับกุม จึงเป็นการยากที่จะคิดปรุงแต่งเรื่องราวให้ผิดไปจากความจริงและในคดีดังกล่าว ศ. ให้การรับสารภาพ จึงมิใช่เป็นการซัดทอดเพื่อให้ตนเองพ้นผิดโดยปัดความผิดไปให้จำเลยเพียงผู้เดียว หากเป็นการบอกเล่าเรื่องราวในการกระทำความผิดของตนยิ่งกว่าการปรักปรำจำเลยเสียอีก ทั้ง ป.วิ.อ. มาตรา 7/1 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่า การสอบคำให้การในชั้นจับกุมของผู้ต้องหาซึ่งเป็นเด็กดังเช่น ศ. จะต้องกระทำต่อหน้านักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์หรือที่ปรึกษากฎหมายหรือบุคคลที่เด็กไว้วางใจ และไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่ห้ามมิให้นำคำให้การชั้นจับกุมของผู้ต้องหาในลักษณะดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของบุคคลอื่นหรือจำเลยในคดีอื่นแต่ประการใดทั้งสิ้น
จำเลยจ้างให้ ศ. ไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้วนำมาส่งให้จำเลย โดยใช้รถจักรยานยนต์ของจำเลย และจำเลยโทรศัพท์สั่งการ ศ. เมื่อ ศ. รับเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้ว ถือว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับ ศ. ครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกับ ศ. กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย กรณีมิใช่ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างจากฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3
of 72