พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,822 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4859/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากไฟฟ้าดูดในสวนสาธารณะ และการคำนวณค่าเสียหายจากการบาดเจ็บทางร่างกายถาวร
โจทก์ได้รับบรรยายฟ้องถึงที่มาของค่าเสียหายว่าเป็นค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล ส. โรงพยาบาล ห. และที่บ้านเป็นเงินรวม100,000บาทเป็นการบรรยายในรายละเอียดแล้วส่วนหลักฐานใบเสร็จรับเงินโจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ฟ้องโจทก์ในส่วนเรียกค่าเสียหายไม่เคลือบคลุม ว. และจำเลยที่1ต่างทำหน้าที่ในสวนสาธารณะของจำเลยที่3การเสียบปลั๊กและปล่อยกระแสไฟฟ้าก็เพื่อป้องกันหนูมิให้กัดทำลายต้นกล้าไม้ในสวนอันเป็นของจำเลยที่3ย่อมเป็นการทำงานเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่3เป็นงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่3 จำเลยที่3มิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ว่าจำเลยที่1มิได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อและจำเลยที่2กระทำไปโดยพลการจำเลยที่3ฎีกาในข้อนี้จึงเป็นฎีกานอกคำให้การศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส. บิดาผู้แทนโดยชอบธรรมดำเนินคดีแทนเด็กชาย ส. มิได้เป็นโจทก์ในฐานะส่วนตัวจำเลยที่3จะอ้างเอาการกระทำของ ส.มาเป็นข้ออ้างเพื่อให้พ้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา442ประกอบด้วยมาตรา223หาได้ไม่ เด็กชาย ส. ได้รับความเสียหายแก่ร่างกายถึงสมองฝ่อเป็นอัมพาตตลอดชีวิตพูดไม่ได้ย่อมจะต้องได้รับการดูแลรักษาในสภาพที่ป่วยเจ็บจนกว่าจะถึงแก่ความตายค่าดูแลรักษาที่จะต้องใช้จ่ายต่อไปจึงมีลักษณะเป็นค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดให้เสียหายแก่ร่างกายในอนาคตนั่นเองและเด็กชาย ส.ย่อมเสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา444วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4814/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในประเด็นค่าเสียหาย: ศาลจำกัดการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 200,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่ารักษาพยาบาลจำนวน 52,531 บาท ค่าขาดรายได้จากการทำงานจำนวน 40,000บาท ค่าพาหนะเดินทางจำนวน 10,000 บาท ค่าผ่าตัดรักษาเท้าจำนวน 15,000บาท และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานจำนวน 200,000 บาทรวมเป็นเงิน 317,531 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายอันเป็นข้อเท็จจริงว่า ค่าพาหนะเดินทางไม่ควรเกิน 4,000 บาท ค่าผ่าตัดรักษาเท้าไม่ควรกำหนดให้ และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานไม่ควรเกิน40,000 บาท ดังนั้น ทุนทรัพย์ที่ยังพิพาทกันในชั้นฎีกามีจำนวน 181,000 บาทและเมื่อรวมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องแล้วรวมเป็นเงิน 194,575 บาท ไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4814/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องค่าเสียหายในส่วนที่ต่ำกว่า 200,000 บาท ตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่ารักษาพยาบาลจำนวน52,531บาทค่าขาดรายได้จากการทำงานจำนวน40,000บาทค่าพาหนะเดินทางจำนวน10,000บาทค่าผ่าตัดรักษาเท้าจำนวน15,000บาทและค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานจำนวน200,000บาทรวมเป็นเงิน317,531บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยที่2ฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายอันเป็นข้อเท็จจริงว่าค่าพาหนะเดินทางไม่ควรเกิน4,000บาทค่าผ่าตัดรักษาเท้าไม่ควรกำหนดให้และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานไม่ควรเกิน40,000บาทดังนั้นทุนทรัพย์ที่ยังพิพาทกันในชั้นฎีกามีจำนวน181,000บาทและเมื่อรวมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องแล้วรวมเป็นเงิน194,575บาทไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4814/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเรื่องค่าเสียหาย เนื่องจากข้อพิพาทในชั้นฎีกามีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท ตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่ารักษาพยาบาลจำนวน52,531บาทค่าขาดรายได้จากการทำงานจำนวน40,000บาทค่าพาหนะเดินทางจำนวน10,000บาทค่าผ่าตัดรักษาเท้าจำนวน15,000บาทและค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานจำนวน200,000บาทรวมเป็นเงิน317,531บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยที่2ฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายอันเป็นข้อเท็จจริงว่าค่าพาหนะเดินทางไม่ควรเกิน4,000บาทค่าผ่าตัดรักษาเท้าไม่ควรกำหนดให้และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานไม่ควรเกิน40,000บาทดังนั้นทุนทรัพย์ที่ยังพิพาทกันในชั้นฎีกามีจำนวน181,000บาทและเมื่อรวมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องแล้วรวมเป็นเงิน194,575บาทไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4719/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายในอนาคตไม่อาจนำมารวมคำนวณทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ได้
ค่าเสียหายปีละ 40,000 บาท ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระแก่โจทก์ นับแต่วันหลังจากวันฟ้องนั้น เป็นค่าเสียหายในอนาคตจะนำไปรวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้
จำเลยฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยซึ่งอุทธรณ์ทั้งคดีส่วนฟ้องของโจทก์และคดีส่วนฟ้องแย้งของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ฎีกาจำเลยจึงมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยอย่างละ 200 บาทรวมเป็น 400 บาท จำเลยเสียเกินมา ศาลฎีกาสั่งให้คืนส่วนที่เสียเกินมาแก่จำเลย
จำเลยฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยซึ่งอุทธรณ์ทั้งคดีส่วนฟ้องของโจทก์และคดีส่วนฟ้องแย้งของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ฎีกาจำเลยจึงมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยอย่างละ 200 บาทรวมเป็น 400 บาท จำเลยเสียเกินมา ศาลฎีกาสั่งให้คืนส่วนที่เสียเกินมาแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4719/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์คดีแพ่ง: การคำนวณค่าเสียหายในอนาคตไม่รวมในทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ ทำให้ต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายที่คิดถึงวันฟ้องให้โจทก์10,000บาทเมื่อรวมกับราคาที่ดินพิพาทอีก30,000บาทคดีจึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์40,000บาทส่วนค่าเสียหายปีละ40,000บาทที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระแก่โจทก์หลังจากวันฟ้องนั้นเป็นค่าเสียหายในอนาคตจะนำไปรวมเป็นทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ด้วยไม่ได้คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4719/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์ค่าเสียหายในอนาคตไม่นำมาคำนวณในชั้นอุทธรณ์ ทำให้คดีนั้นห้ามอุทธรณ์ตามกฎหมาย
ค่าเสียหายปีละ40,000บาทที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระแก่โจทก์นับแต่วันหลังจากวันฟ้องนั้นเป็นค่าเสียหายในอนาคตจะนำไปรวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้ จำเลยฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค1พิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยซึ่งอุทธรณ์ทั้งคดีส่วนฟ้องของโจทก์และคดีส่วนฟ้องแย้งของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ฎีกาจำเลยจึงมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยอย่างละ200บาทรวมเป็น400บาทจำเลยเสียเกินมาศาลฎีกาสั่งให้คืนส่วนที่เสียเกินมาแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4717/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดินและค่าใช้ที่ดิน: ศาลฎีกาพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่เพื่อกำหนดค่าเสียหายที่ถูกต้อง
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยกระทำละเมิดโจทก์ โดยจำเลยก่อสร้างตีนช้างหรือฐานรากอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์ และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิด ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ชดใช้ค่าใช้ที่ดินในกรณีที่ตีนช้างหรือฐานรากอาคารของจำเลยปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอมในส่วนที่รุกล้ำนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 จึงเป็นข้อพิพาทคนละประเด็นกัน มิใช่ประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเนื้อที่ดินที่ก่อสร้างตีนช้างผิดพลาดไปเป็นเนื้อที่ดินครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งจำนวนเนื้อที่ดินที่ผิดพลาดนี้ไม่ว่าจะคิดเฉพาะจุดที่ก่อสร้างตีนช้างหรือจะคิดเป็นเนื้อที่ตลอดแนวความยาวก่อสร้างตีนช้างทั้งแถวย่อมมีผลกระทบกระเทือนถึงการกำหนดค่าใช้ที่ดินของศาลให้ผิดพลาดไปด้วยศาลฎีกาเห็นสมควรฟังข้อเท็จจริงเสียใหม่ และกำหนดค่าเสียหายลดลงจากที่ศาลล่างทั้งสองกำหนด
ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเนื้อที่ดินที่ก่อสร้างตีนช้างผิดพลาดไปเป็นเนื้อที่ดินครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งจำนวนเนื้อที่ดินที่ผิดพลาดนี้ไม่ว่าจะคิดเฉพาะจุดที่ก่อสร้างตีนช้างหรือจะคิดเป็นเนื้อที่ตลอดแนวความยาวก่อสร้างตีนช้างทั้งแถวย่อมมีผลกระทบกระเทือนถึงการกำหนดค่าใช้ที่ดินของศาลให้ผิดพลาดไปด้วยศาลฎีกาเห็นสมควรฟังข้อเท็จจริงเสียใหม่ และกำหนดค่าเสียหายลดลงจากที่ศาลล่างทั้งสองกำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4717/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-ค่าเสียหายบุกรุก: ศาลฎีกาแก้ค่าใช้ที่ดินจากข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยกระทำละเมิดโจทก์โดยจำเลยก่อสร้างตีนช้างหรือฐานรากอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิดส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ชดใช้ค่าใช้ที่ดินในกรณีที่ตีนช้างหรือบานรากอาคารของจำเลยปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์กับให้จำเลยไปจดทะเบียนภารจำยอมในส่วนที่รุกล้ำนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1312จึงเป็นข้อพิพาทคนละประเด็นกันมิใช่ประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148 ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเนื้อที่ดินที่ก่อสร้างตีนช้างผิดพลาดไปเป็นเนื้อที่ดินครึ่งต่อครึ่งซึ่งจำนวนเนื้อที่ดินที่ผิดพลาดนี้ไม่ว่าจะคิดเฉพาะจุดที่ก่อสร้างตีนช้างหรือจะคิดเป็นเนื้อที่ตลอดแนวความยาวก่อสร้างตีนช้างทั้งแถวย่อมมีผลกระทบกระเทือนถึงการกำหนดค่าใช้ที่ดินของศาลให้ผิดพลาดไปด้วยศาลฎีกาเห็นสมควรฟังข้อเท็จจริงเสียใหม่และกำหนดค่าเสียหายลดลงจากที่ศาลทั้งสองกำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 456/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำคดีแรงงาน: ศาลฎีกายืนตามศาลแรงงานกลางว่าการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากคำสั่งลงโทษเดิม เป็นฟ้องซ้ำ
คดีเดิมโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่จำเลยสั่งลงโทษลดขั้นเงินเดือนโจทก์1ขั้นโดยอ้างว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยระเบียบข้อบังคับการทำงานและกฎหมายเพราะโจทก์มิได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางว่าโจทก์ทำผิดระเบียบข้อบังคับการทำงานคำสั่งของจำเลยที่สั่งลงโทษโจทก์นั้นชอบแล้วการที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินเดือนที่ถูกลดไป1ขั้นตามคำสั่งดังกล่าวและเงินโบนัสที่จำเลยไม่ได้จ่ายให้โจทก์ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ถูกลงโทษตามคำสั่งนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องคดีเดิมโจทก์อาจเรียกร้องให้พิจารณาถึงสิทธิต่างๆตามที่โจทก์ฟ้องคดีนี้อยู่แล้วการที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องมีกรณีที่ต้องพิจารณาว่าคำสั่งดังกล่าวของจำเลยชอบด้วยระเบียบข้อบังคับการทำงานและกฎหมายหรือไม่ซึ่งเป็นประเด็นที่คดีเดิมมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วข้ออ้างตามฟ้องโจทก์จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีเดิมและคู่ความเดียวกันเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148ประกอบกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานกลางและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31