พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,913 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2724/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบหลักฐานหนี้ในคดีล้มละลาย: เจ้าหนี้ต้องพิสูจน์หนี้จริงเพื่อรับชำระ
เจ้าหนี้ผู้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อพิสูจน์ว่าหนี้ทียื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้มีอยู่จริง และลูกหนี้ต้องรับผิดในหนี้นั้นเจ้าหนี้จึงจะมีสิทธิได้รับชำระหนี้ ไม่ว่าหนี้นั้นจะเป็นหนี้ตามคำประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน หรือแม้แต่เป็นหนี้ตามคำพิพากษาอันถึงที่สุด ผู้ขอรับชำระหนี้ก็ต้องนำสืบตามข้ออ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2559/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล้มละลาย: แม้มีหนี้ถึงที่สุด แต่ศาลพิจารณาเหตุไม่สมควรให้ล้มละลายได้ หากลูกหนี้มีโอกาสชำระหนี้และไม่ได้มีเจตนาหลีกเลี่ยง
เมื่อศาลแพ่งมีคำพิพากษาคดีที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายและคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว แม้จำเลยที่ 2 จะได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่และคดีชั้นร้องขอพิจารณาใหม่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ก็ตาม แต่คำพิพากษาศาลแพ่งดังกล่าวย่อมต้องผูกพันคู่ความจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย จำเลยที่ 2 จึงต้องผูกพันและมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว แม้จำเลยที่ 2 ไม่มีทรัพย์สินให้พึงยึดมาชำระหนี้ได้อันต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 แต่จำเลยที่ 2เป็นนายทหารยศนาวาอากาศตรี อายุเพียง 40 ปีเศษ ยังมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อไปอีก หนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่งอันเป็นมูลเหตุให้จำเลยที่ 2 ถูกฟ้องล้มละลาย เป็นหนี้ตามสัญญาค้ำประกันการเข้าทำงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาจำเลยที่ 2 มิใช่หนี้ที่จำเลยที่ 2 ก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ของตนเองโดยแท้ ประกอบกับจำเลยที่ 2มีรายได้จากเงินเดือนเดือนละ 10,500 บาท โดยไม่ปรากฏว่ามีหนี้สินอื่น และเหตุที่จำเลยที่ 2 ยังมิได้ชำระหนี้ก็น่าเชื่อว่าเพราะจำเลยที่ 2 เชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเงินเพียง 100,000 บาท ตามที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกันเท่านั้นซึ่งจะเห็นได้จากจำเลยที่ 2 ได้ขอให้มีการพิจารณาคดีแพ่งดังกล่าวใหม่ และยืนยันตลอดมาตั้งแต่เมื่ออ้างตนเองเป็นพยานว่าพร้อมชำระเงินจำนวน 100,000 บาท ให้แก่โจทก์ทันที เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสียเลยจึงมีเหตุไม่สมควรให้จำเลยที่ 2 ล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 14
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2555/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งมติที่ประชุมเจ้าหนี้ต้องทำตั้งแต่แรก หากเพิ่งยื่นหลังศาลตัดสินถือว่าสายเกินไป
คำร้องที่จำเลยยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นการโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์ โดยขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์ มิใช่เป็นการโต้แย้งว่าการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกหรือการลงมติของโจทก์เป็นการประชุมหรือการลงมติที่ไม่ชอบ ทั้งจำเลยเพิ่งยื่นคำร้องดังกล่าวภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยล้มละลายแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ยกเรื่องมติที่ประชุมเจ้าหนี้ไม่ชอบขึ้นโต้แย้งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือต่อศาลชั้นต้นมาก่อน จำเลยจึงไม่อาจยกปัญหาที่เกี่ยวกับมติที่ประชุมเจ้าหนี้ว่าชอบหรือไม่ ขึ้นอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2554/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการชำระหนี้หลังล้มละลาย: การให้ได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่นขัดต่อกฎหมาย
การที่จำเลยชำระหนี้เงินกู้ให้ผู้คัดค้านจำนวน 48,100 บาทหลังจากที่จำเลยถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลายแล้ว โดยจำเลยเป็นหนี้เจ้าหนี้อื่นอีก 5 ราย ที่ยื่นขอรับชำระหนี้ไว้ถึง 11 ล้านบาทเศษการนำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระให้แก่ผู้คัดค้านเพียงรายเดียว โดยเจ้าหนี้อื่นมิได้รับการแบ่งชำระด้วย จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นการมุ่งให้ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้รายอื่น เข้าหลักเกณฑ์ที่จะให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนการชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 115 ได้ โดยมิต้องคำนึงว่าผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้ไว้โดยสุจริตหรือไม่ การเพิกถอนการชำระหนี้เป็นผลของคำพิพากษา ตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนการชำระหนี้ ก็ยังถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบ กรณีถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดตั้งแต่วันยื่นคำร้องผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยได้เอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2553/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินก่อนล้มละลาย ผู้รับโอนต้องคืนเงินให้กองทรัพย์สิน หากการโอนไม่สุจริต
การโอนทรัพย์สินซึ่งลูกหนี้ได้กระทำในระหว่างระยะเวลาสามปีก่อนล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 นั้นเป็นหน้าที่ของผู้รับโอนจะต้องนำสืบแสดงให้เป็นที่พอใจศาลว่าการโอนนั้นได้กระทำโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ผู้คัดค้านและจำเลยที่ 1 ต่างเป็นบริษัทประกอบธุรกิจเงินทุนและธุรกิจหลักทรัพย์ด้วยกัน จำเลยที่ 1 ติดต่อกู้ยืมเงินจากผู้คัดค้านตั้งแต่ พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา จนถึงเดือนธันวาคม 2526จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ผู้คัดค้าน 5,000,000 บาทโดยไม่มีหลักประกันแสดงว่าผู้คัดค้านกับจำเลยที่ 1 ติดต่อสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาตลอดเป็นเวลาหลายปี จำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งธนาคารแห่งประเทศไทยขอหยุดทำการจ่ายเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินโดยอ้างว่าเริ่มประสบวิกฤติการณ์ทางภาวะการเงินมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2526 ซึ่งผู้คัดค้านน่าจะทราบดีถึงภาวะการเงินของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว แต่กลับปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินแก่ผู้คัดค้าน2 ฉบับ ๆ แรกจำนวน 969,408 บาท ผู้คัดค้านได้รับเงินแล้ว ฉบับที่2 จำนวน 4,453,812 บาท ตั๋วถึงกำหนดใช้เงินวันที่ 22 ธันวาคม2527 แต่จำเลยที่ 1 ได้โอนสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อแก่ผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2526 เพื่อชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวก่อนตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดชำระถึง 1 ปี พฤติการณ์ดังกล่าวฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านได้รับโอนสิทธิเรียกร้องค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต และเป็นการโอนซึ่งจำเลยที่ 1 ได้กระทำในระหว่างระยะเวลา 3 ปี ก่อนล้มละลาย ศาลจึงมีอำนาจเพิกถอนการโอนนั้นได้ ผู้คัดค้านต้องคืนเงินที่ได้รับจากการรับโอนสิทธิเรียกร้องเข้ากองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 โดยให้ผู้คัดค้านหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นซึ่งผู้คัดค้านได้จ่ายไปเพื่อบังคับตามสิทธิเรียกร้องที่รับโอนมาได้ ผู้คัดค้านออกเงินค่าใช้จ่ายก็เพื่อบังคับตามสัญญาเช่าซื้อตามสิทธิเรียกร้องที่รับโอนมา มิใช่เป็นการจัดการงานนอกสั่งสัญญาเช่าซื้อระบุแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 ยอมออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบังคับตามสัญญาเช่าซื้อ โดยมิได้กำหนดว่าจำเลยที่ 1ยอมชดใช้ดอกเบี้ยในส่วนค่าใช้จ่ายที่ผู้คัดค้านจ่ายไป ผู้คัดค้านจึงไม่อาจหักดอกเบี้ยในส่วนนี้จากจำนวนเงินที่ต้องชดใช้แก่ผู้ร้อง ส่วนดอกเบี้ยของเงินจำนวนที่ผู้คัดค้านต้องชดใช้ให้แก่ผู้ร้องนั้น ในวันยื่นคำร้องยังถือไม่ได้ว่าผู้คัดค้านผิดนัดผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนเป็นต้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2548/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายภายในกำหนด มิฉะนั้นสิทธิเรียกร้องหนี้สิ้นสุด
จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแล้ว ต่อมาจำเลยถูกฟ้องล้มละลายและศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด แม้โจทก์มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ก็ตามก็ไม่เป็นเหตุให้เพิกถอนหมายบังคับคดีนั้นได้ โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยในคดีแพ่งแต่มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายสำหรับหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ย่อมหมดสิทธิที่จะเรียกร้องหนี้ ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งจากจำเลยอีกต่อไปตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27 และมาตรา 91 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีสิทธิ ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการ อายัดเงินของจำเลยไปยังบุคคลภายนอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 24/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ตามคำพิพากษาที่ไม่ถึงที่สุด เป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้ และการโอนทรัพย์สินเพื่อเลี่ยงชำระหนี้
หนี้ที่เกิดขึ้นโดยผลของคำพิพากษา แม้จะยังไม่ถึงที่สุดก็ตามคู่ความก็ต้องผูกพันในผลของคำพิพากษานั้นจนกว่าคำพิพากษาจะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสีย จึงถือได้ว่าเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 9(3)เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบคำบังคับและหมายบังคับคดีแล้วได้โอนทรัพย์สินของตนไปเสียทั้งหมด ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มีทรัพย์สินรวมกันไม่พอชำระหนี้ให้โจทก์กรณีจึงไม่มีเหตุที่ยังไม่สมควรให้จำเลยที่ 1ล้มละลายตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 14.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 24/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ตามคำพิพากษาและการล้มละลาย: การพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้และทรัพย์สิน
แม้หนี้ที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายจะเป็นหนี้ตามคำพิพากษาที่ยังไม่ถึงที่สุด แต่คู่ความก็ต้องผูกพันในผลของคำพิพากษานั้นจนกว่าคำพิพากษาจะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสีย จึงถือว่าเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 9(3) เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบคำบังคับและหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ได้โอนทรัพย์สินของตนไปหมดแล้ว ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มีทรัพย์สินรวมกันประมาณ 800,000บาท เท่านั้นไม่พอชำระหนี้ให้โจทก์ซึ่งมีจำนวนหนี้ทั้งสิ้นถึง 11,000,000 บาทเศษ กรณีจึงไม่มีเหตุที่ยังไม่สมควรให้จำเลยที่ 1 ล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 จำเลยที่ 1 ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาด ต้องเสียค่าขึ้นศาล50 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179(1)ที่จำเลยที่ 1 เสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกามา 200 บาท จึงเสียเกินมาศาลฎีกาเห็นสมควรคืนเงินค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้จำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2353/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินสมรสและการสมยอมเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้ การยึดทรัพย์ในคดีล้มละลาย
ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทก่อนสมรสกับจำเลยแต่ผู้ร้องชำระราคาส่วนใหญ่และจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทหลังจากผู้ร้องและจำเลยจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ต้องถือว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องได้มาระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรส การที่จำเลยและผู้ร้องจดทะเบียนหย่ากันโดยจำเลยยกที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสให้ผู้ร้องทั้ง ๆ ที่ผู้ร้องทราบถึงภาระหนี้สินของจำเลย เป็นการสมยอมกันเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ ที่ดินและบ้านพิพาทไม่ตกเป็นของผู้ร้องเพียงผู้เดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2291/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาถึงที่สุดต่อกองทรัพย์สินในคดีล้มละลาย แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้เป็นคู่ความ
หนี้ที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาที่ศาลได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งจำเลยที่ 1 ตกลงว่า หากผิดนัดไม่ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินยอมรับผิดชดใช้เงินตามตั๋วพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปีอันเป็นอัตราดอกเบี้ยไม่เกินประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะทำสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยตามสัญญาศาลจึงพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระส่วนดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี และคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวถึงที่สุดแล้วกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดหนี้ดังกล่าว แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีแพ่งดังกล่าวอันจะต้องถูกผูกพันโดยผลแห่งคำพิพากษาโดยตรงก็ตาม แต่ก็ไม่มีเหตุตามกฎหมายที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะอ้างประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยไปลดดอกเบี้ยตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วลงเหลืออัตราร้อยละ 15 ต่อปี ได้