คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2737/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งมรดก: ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโดยอ้างคำพิพากษาเดิม ศาลฎีกาแก้ ให้สืบพยานใหม่
ก่อนคดีนี้จำเลยเคยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 3 ออกจากบ้านเลขที่ 39 ส่วนโจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ 38/2 คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษา และคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน โดยคดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวมีประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ส.หรือของจำเลย ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า บ้านเลขที่ 39 เป็นของจำเลย ส่วนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยกึ่งหนึ่งในฐานะที่ครอบครองร่วมกันมา ส. ก็ยังเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาท ส่วนบ้านเลขที่ 39 ตกเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท เมื่อ ส. ถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทพร้อมบ้านเลขที่ 39 จึงเป็นทรัพย์มรดกของ ส. โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเท่าใดดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ส.หรือไม่ จึงหายุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ แม้คำพิพากษาในคดีก่อนจะผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นคู่ความรายเดียวกันแต่ข้อเท็จจริงที่รับฟังมาในคดีก่อนยังหาเพียงพอแก่การวินิจฉัยในคดีนี้ไม่ ศาลชั้นต้นชอบที่จะดำเนินการสืบพยานต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดียังไม่ควรงดสืบพยานคู่ความ จำเลยฎีกาเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี มิได้ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีจึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 ข้อ 2(ก)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2737/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์มรดก: ศาลฎีกาอนุญาตให้สืบพยานเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ความเป็นเจ้าของที่ดิน
ก่อนคดีนี้จำเลยเคยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ที่3ออกจากบ้านเลขที่39ส่วนโจทก์ที่1ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่38/2คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาและคดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนโดยคดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวมีประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของส.หรือของจำเลยซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวว่าแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าบ้านเลขที่39เป็นของจำเลยส่วนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยกึ่งหนึ่งในฐานะที่ครอบครองร่วมกันมาส. ก็ยังเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทส่วนบ้านเลขที่39ตกเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาทเมื่อส. ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทพร้อมบ้านเลขที่39จึงเป็นทรัพย์มรดกของส. โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเท่าใดดังนี้ข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของส.หรือไม่จึงหายุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่แม้คำพิพากษาในคดีก่อนจะผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นคู่ความรายเดียวกันแต่ข้อเท็จจริงที่รับฟังมาในคดีก่อนยังหาเพียงพอแก่การวินิจฉัยในคดีนี้ไม่ศาลชั้นต้นชอบที่จะดำเนินการสืบพยานต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดียังไม่ควรงดสืบพยานคู่ความ จำเลยฎีกาเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีมิได้ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีจึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาล200บาทตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา1ข้อ2(ก)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2694/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยตามสัญญากู้ไม่ใช่เบี้ยปรับ ศาลฎีกาชี้สิทธิคิดดอกเบี้ยตามสัญญา แม้ผู้กู้ผิดนัด
ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379การที่จะเรียกเบี้ยปรับแก่กัน คู่สัญญาจะต้องตกลงกันกำหนดเบี้ยปรับไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะมีการไม่ชำระหนี้คดีนี้ตามหนังสือสัญญากู้เงินซึ่งมีข้อความว่า "ผู้กู้ยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้เป็นรายเดือนสำหรับเงินกู้ตามสัญญานี้ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นที่ผู้ให้กู้จะต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยแล้ว ผู้กู้ยินยอมให้ผู้ให้กู้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กำหนดดังกล่าวเมื่อใดก็ได้แต่ไม่เกินอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้ ทั้งนี้ผู้ให้กู้ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ผู้กู้ทราบล่วงหน้า" ข้อความดังกล่าวเป็นข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยเงินกู้ตามสัญญาและโจทก์ผู้ให้กู้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยสูงถึงอัตราร้อยละ 19 ต่อปีในระหว่างสัญญาได้ ไม่ว่าจำเลยผู้กู้จะผิดนัดหรือไม่ก็ตามการคิดดอกเบี้ยของโจทก์จึงเข้าลักษณะเป็นดอกผลนิตินัยที่โจทก์พึงได้รับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 148 วรรคสาม กรณีไม่อาจอนุโลมเป็นเบี้ยปรับได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2690/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสัญญาจ้างบริการแยกจากสัญญาเช่า: ศาลฎีกาตัดสินเรื่องอายุความต่างกัน
การบริการต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างบริการที่พิพาทเช่นการรักษาความปลอดภัย การบริการให้มีน้ำประปาใช้ในบริเวณห้องสุขาสาธารณะการบำรุงรักษาอาคารและสาธารณูปโภค เป็นต้น เป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะเจ้าของอาคารผู้ให้เช่าจัดการสิ่งบริการต่าง ๆ ดังกล่าวให้แก่จำเลยผู้เช่าอาคาร โดยโจทก์เรียกเก็บค่าบริการเป็นรายเดือนจากจำเลย อันเป็นการดำเนินการประจำเป็นปกติธุระ ถือว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้นตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/34 (7) มีอายุความสองปี
ข้อความที่ระบุในสัญญาเช่าอาคารให้ถือว่าสัญญาจ้างบริการเป็นส่วนหนึ่งของอายุการเช่าเท่านั้น มิใช่ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อสัญญาเช่าอาคารทั้งหมด ดังนี้จะนำอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 193 /33 (3) (4) (5)หรือมาตรา 193/34 (1) มาใช้บังคับมิได้
ฎีกาโจทก์ที่ว่า จำเลยให้การต่อสู้เรื่องอายุความแต่เพียงว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 165 (เดิม), 563 โดยมิได้ให้เหตุผลประกอบข้ออ้างแต่อย่างใด ไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทนั้น เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์มิได้กล่าวแก้ยกประเด็นข้อนี้ในคำแก้อุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทรัพย์มรดกยังไม่แบ่ง-อายุความ-อำนาจฟ้อง: ศาลฎีกาพิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งจำเลยมีสิทธิใช้ทรัพย์ดังกล่าวในฐานะเจ้าของรวมได้จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียวว่าที่พิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกและคดีขาดอายุความแล้วดังนี้เมื่อโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คำขอบังคับตามคำฟ้องโจทก์ย่อมเป็นอันตกไปการจะวินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ดังที่จำเลยฎีกามาฝ่ายเดียวจึงไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปและประเด็นตามฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่าศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบนั้นหรือไม่ก็ไม่จำต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นฎีกาหลังรับสารภาพในชั้นต้น: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้แก่ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องของโจทก์ จำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า ขณะที่จำเลยออกเช็คนั้นยังไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระ จึงมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามฟ้องนั้นหาได้ไม่ เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ทั้งยังเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งเป็นปัญหาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อีกด้วย ฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่งประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพแล้วโต้แย้งข้อเท็จจริงเดิมในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายต่อมาธนาคารตามเช็คปฎิเสธการจ่ายเงินจำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องของโจทก์จำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่าขณะที่จำเลยออกเช็คนั้นยังไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระจึงมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมายการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามฟ้องนั้นหาได้ไม่เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้วทั้งยังเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งเป็นปัญหาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค2อีกด้วยฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพแล้วยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้แก่ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อจำเลยให้การับสารภาพข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังฟ้องของโจทก์จำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่าขณะที่จำเลยออกเช็คนั้นยังไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระจึงมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมายการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามฟ้องนั้นหาได้ไม่เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้วทั้งยังเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งเป็นปัญหาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อีกด้วยฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกานอกเหนือคำให้การ และข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท
ที่จำเลยฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่าโจทก์ยังมิได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์และค่าติดตามรถยนต์คันที่เช่าซื้อนั้นจำเลยให้การแต่เพียงว่ารถยนต์มีสภาพเก่าและโจทก์มิได้ประสงค์จะให้ผู้ใดเช่าจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์ส่วนค่าติดตามรถยนต์จำเลยเป็นผู้แจ้งโจทก์ให้ไปรับรถยนต์เองมิใช่กรณีที่โจทก์ติดตามยึดนั้นจำเลยมิได้ให้การว่าสัญญายังมิได้เลิกกันโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจำเลยจึงไม่มีสิทธิยกประเด็นดังกล่าวขึ้นฎีกาได้เพราะเป็นข้อฎีกาที่นอกเหนือจากคำให้การของจำเลยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าค่าขาดประโยชน์ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดสูงเกินไปนั้นเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1935/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่ที่ต้องห้ามตามมาตรา 173(1) เมื่อคดีสิทธิในที่ดินยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา
การที่โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านในคดีก่อนก็เพราะจำเลยซึ่งเป็นผู้ร้องในคดีก่อนนำคำสั่งศาลไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนเป็นชื่อจำเลยเป็นการดำเนินการในชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง หากเจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการให้ย่อมจะมีความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ทั้งถูกโต้แย้งสิทธิ โจทก์จึงมีสิทธิร้องขอเข้าไปในชั้นบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)และคดีก่อนโจทก์ไม่ได้ร้องคัดค้านเข้าไปในคดีก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์โจทก์จึงเป็นบุคคลภายนอกสามารถและพิสูจน์ในชั้นบังคับคดีได้ว่า โจทก์มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีก่อนที่แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่ผูกพันโจทก์ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2)โดยไม่ต้องฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ คำร้องขอของโจทก์ในคดีก่อนเป็นคำฟ้อง และแม้ในคดีก่อนศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ แต่โจทก์ก็ยังฎีกาคัดค้านต่อศาลฎีกาคดีก่อนจึงยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา การที่โจทก์มาฟ้องขับไล่่จำเลยเป็นคดีนี้ ซึ่งคดีก่อนอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทจำเลยเป็นบริวารของผู้เช่า ซึ่งมีประเด็นต้องวินิจฉัยเช่นเดียวกับคดีก่อนว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลย ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)
of 344