พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,361 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4833/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงเรียกค่าใช้จ่ายเพิ่มเมื่อสัญญาถูกบอกเลิก: ต้องดำเนินการจ้างบุคคลอื่นจนงานแล้วเสร็จ
ตามสัญญา ข้อ 19 (3) กำหนดไว้ว่า จำเลยจะเรียกค่าใช้จ่ายในการควบคุมงานได้ต่อเมื่อจำเลยต้องจ้างผู้ควบคุมงานอีกต่อหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ด.ผู้ควบคุมงานก่อสร้างคนแรกและ ส.ผู้ควบคุมงานก่อสร้างคนต่อมาต่างเป็นลูกจ้างของจำเลยเอง จำเลยไม่ต้องจ้างผู้ควบคุมงานอีกต่อหนึ่ง ฉะนั้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าควบคุมงานตามสัญญาข้อ 19 (3)
ตามสัญญา ข้อ 20 มีข้อความว่า "ถ้าผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาแล้วผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) ริบหลักประกันสัญญาดังกล่าวในสัญญาข้อ 3
(2) ยินยอมให้ผู้ว่าจ้างเรียกเอาค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นเพราะจ้างบุคคลอื่นทำการนี้ต่อไปจนงานแล้วเสร็จบริบูรณ์
(3) เรียกเอาค่าใช้จ่ายในการควบคุมงานในเมื่อผู้ว่าจ้างต้องจ้างผู้ควบคุมงานนั้นอีกต่อหนึ่งจนงานแล้วเสร็จบริบูรณ์
(4) เรียกค่าเสียหายอันพึงมีจากผู้รับจ้าง" ตามข้อสัญญาดังกล่าว เห็นได้ว่า การที่โจทก์ยอมให้จำเลยเรียกเอาค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นหรือค่าใช้จ่ายในการควบคุมงานซึ่งจำเลยว่าจ้างบุคคลอื่นให้ทำการต่อไปภายหลังที่จำเลยบอกเลิกสัญญาจนงานแล้วเสร็จบริบูรณ์นั้น แสดงว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาจะให้โจทก์ต้องรับผิดสำหรับค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นตามสัญญาข้อ 20 (2) ต่อเมื่อจำเลยดำเนินการจ้างบุคคลอื่นทำการก่อสร้างต่อไปจนงานแล้วเสร็จบริบูรณ์ตามโครงการเสียก่อน เพื่อจะได้ทราบว่าค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นซึ่งโจทก์ต้องรับผิดนั้นมีจำนวนเท่าใดเพราะกรณีของโจทก์จำเลยในคดีนี้ค่าถมทรายราคาขึ้นลงไม่แน่นอน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากจำเลยบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ จำเลยได้ว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด น.ก่อสร้างเขื่อนและถมทรายหลังเขื่อนต่อจากโจทก์ ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวถมทรายได้บางส่วนแล้วจำเลยให้หยุดและจำเลยไม่ได้จ้างบุคคลอื่นทำการถมทรายต่อจนแล้วเสร็จบริบูรณ์ตามโครงการ จำเลยจึงยังไม่ได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาข้อ 20 (2) จำเลยย่อมไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าจ้างในส่วนราคาทรายที่เพิ่มขึ้นจากโจทก์ได้
ตามสัญญา ข้อ 20 มีข้อความว่า "ถ้าผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาแล้วผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) ริบหลักประกันสัญญาดังกล่าวในสัญญาข้อ 3
(2) ยินยอมให้ผู้ว่าจ้างเรียกเอาค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นเพราะจ้างบุคคลอื่นทำการนี้ต่อไปจนงานแล้วเสร็จบริบูรณ์
(3) เรียกเอาค่าใช้จ่ายในการควบคุมงานในเมื่อผู้ว่าจ้างต้องจ้างผู้ควบคุมงานนั้นอีกต่อหนึ่งจนงานแล้วเสร็จบริบูรณ์
(4) เรียกค่าเสียหายอันพึงมีจากผู้รับจ้าง" ตามข้อสัญญาดังกล่าว เห็นได้ว่า การที่โจทก์ยอมให้จำเลยเรียกเอาค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นหรือค่าใช้จ่ายในการควบคุมงานซึ่งจำเลยว่าจ้างบุคคลอื่นให้ทำการต่อไปภายหลังที่จำเลยบอกเลิกสัญญาจนงานแล้วเสร็จบริบูรณ์นั้น แสดงว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาจะให้โจทก์ต้องรับผิดสำหรับค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นตามสัญญาข้อ 20 (2) ต่อเมื่อจำเลยดำเนินการจ้างบุคคลอื่นทำการก่อสร้างต่อไปจนงานแล้วเสร็จบริบูรณ์ตามโครงการเสียก่อน เพื่อจะได้ทราบว่าค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นซึ่งโจทก์ต้องรับผิดนั้นมีจำนวนเท่าใดเพราะกรณีของโจทก์จำเลยในคดีนี้ค่าถมทรายราคาขึ้นลงไม่แน่นอน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากจำเลยบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ จำเลยได้ว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด น.ก่อสร้างเขื่อนและถมทรายหลังเขื่อนต่อจากโจทก์ ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวถมทรายได้บางส่วนแล้วจำเลยให้หยุดและจำเลยไม่ได้จ้างบุคคลอื่นทำการถมทรายต่อจนแล้วเสร็จบริบูรณ์ตามโครงการ จำเลยจึงยังไม่ได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาข้อ 20 (2) จำเลยย่อมไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าจ้างในส่วนราคาทรายที่เพิ่มขึ้นจากโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4744/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกล้างสัญญาให้ที่ดินระหว่างสมรส: สัญญาใช้บังคับได้ ไม่ใช่การยกให้
การที่โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยมีกรรมสิทธิ์รวมตามบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมในระหว่างสมรส มีผลทำให้ที่ดินตกเป็นสินส่วนตัวของจำเลย ซึ่งบันทึกดังกล่าวเป็นสัญญาระหว่างสมรสที่สมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ กรณีมิใช่การยกให้ซึ่งจะถอนคืนการให้ได้ต่อเมื่อมีเหตุเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 โจทก์จึงมีสิทธิที่จะบอกล้างได้ตามมาตรา 1469
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4734/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อ: ศาลอนุญาตฟ้องค่าขาดประโยชน์ได้ แม้คดีอาญาไม่ครอบคลุม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา43บัญญัติให้อำนาจพนักงานอัยการที่จะเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายเท่านั้นค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์จากสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องมาในคดีนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดพนักงานอัยการจึงฟ้องเรียกค่าเสียหายดังกล่าวในคดีเดิมแทนผู้เสียหายไม่ได้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งคือผู้เสียหายในคดีก่อนมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาเรื่องก่อนนั้นด้วยและการกระทำของจำเลยผู้เช่าซื้อซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้ออาจเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่จะใช้สิทธิเรียกร้องได้ทั้งสองทางคือในมูลละเมิดและในมูลหนี้แห่งสัญญาเช่าซื้อเมื่อในคดีอาญาเรื่องก่อนศาลมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์ของโจทก์กรณีจึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา144 การที่ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่สามารถนำประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดีอาญาเรื่องก่อนมาฟ้องร้องบังคับจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา50,249มีคำสั่งให้ยกฟ้องค่าฤชาธรรมให้เป็นพับดังนี้เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา131(2)มีผลเป็นการพิพากษาแล้วมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นไม่รับคำคู่ความตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา18จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา151
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4695/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบมูลหนี้และการชำระหนี้เกินจำนวนที่ค้างชำระ ศาลบังคับใช้ตามสัดส่วน
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้โจทก์นำสืบมูลที่มาของหนี้ตามสัญญากู้ว่าเดิมมีอยู่อย่างไรและเหตุใดจึงมีจำนวนหนี้ดังกล่าวตามที่จำเลยขีดฆ่าและลงชื่อกำกับไว้ก่อนที่จะมีการแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นมีความเป็นมาอย่างไรมิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94 แม้สัญญากู้ยืมจะเป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรจึงจะอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้แต่ในกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้และจำเลยให้การรับว่าเป็นหนี้จริงโจทก์ก็ไม่จำเป็นต้องอ้างสัญญากู้ยืมเป็นพยานหลักฐาน จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่หลายจำนวนและได้ชำระหนี้ให้โจทก์เกินกว่าหนี้ที่ต้องชำระอยู่จำนวนหนึ่งจึงให้นำเงินจำนวนดังกล่าวชำระหนี้ซึ่งถึงกำหนดชำระก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา328
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 456/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความชำรุดบกพร่อง: การซ่อมแซมต่อเนื่องและผลกระทบต่ออายุความ
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 474 บัญญัติไว้ว่า "ในข้อรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่อง" โจทก์พบเสื้อเกียร์แตกครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2532และจำเลยที่ 1 ได้รับไปซ่อมเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2532 แล้วนำมาส่งคืนเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2532 เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์แล้ว อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2532 ตาม ป.พ.พ.มาตรา 172 (เดิม) ต่อมาวันที่ 16 ธันวาคม 2532 โจทก์ติดตั้งเกียร์ทดพร้อมอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 ใช้งานจนถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2532 ปรากฏว่าเสื้อเกียร์ได้แตกเหมือนเดิม จำเลยที่ 1 ได้รับคืนไปซ่อมอีกแล้วส่งคืนโจทก์เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2533 และมีการติดตั้งเกียร์ทดพร้อมอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นครั้งที่ 3 จากนั้นวันที่ 20 พฤศจิกายน 2533 โจทก์ได้ใช้เกียร์ทดพร้อมอุปกรณ์ดังกล่าว ใช้ได้ประมาณ 2 ถึง 3 วัน เสื้อเกียร์ก็แตกอีก ดังนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยังไม่สามารถแก้ไขความชำรุดบกพร่องในจุดเดิม คือที่เสื้อเกียร์ของเกียร์ทดและอุปกรณ์นั้นให้โจทก์สามารถใช้งานได้ตามปกติ อันเป็นประโยชน์ที่มุ่งหมายในสัญญา อายุความจึงยังคงสะดุดหยุดลงอยู่ ต่อมาโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1ส่งช่างไปแก้ไข แต่จำเลยที่ 1 กลับปฏิเสธความรับผิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน2533 จึงเป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นได้สิ้นสุดลง ต้องเริ่มนับอายุความเดิม 1 ปีใหม่ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2533
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4365/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาต้องแจ้งให้ลูกหนี้ทราบ การไม่แจ้งทำให้สิทธิเรียกดอกเบี้ยสูงขึ้นนั้นตกไป
ตามสัญญากู้ยืมเงินมีข้อความว่าผู้ให้กู้จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแล้วผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้มีสิทธิขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ตามแต่จะเห็นสมควรโดยเพียงแต่แจ้งให้ผู้กู้ทราบเท่านั้นข้อความที่ระบุไว้ดังกล่าวแม้จะให้สิทธิโจทก์ขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยแต่ก็มีเงื่อนไขว่าต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบด้วยโจทก์จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยไม่แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบหาได้ไม่แต่ตามคำฟ้องและการนำสืบของโจทก์ในชั้นพิจารณาไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบว่าโจทก์ขอขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นอัตราร้อยละ18และ19ต่อปีโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวจากจำเลยทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4323/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในสิ่งปลูกสร้างจากการเช่าที่ดิน: การยึดที่ดินไม่กระทบสิทธิผู้เช่า
เมื่อสิ่งปลูกสร้างที่ได้ถูกยึดไว้ในคดีล้มละลาย ไม่มีสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 72/1 ตามที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยได้ใช้สิทธิตามสัญญาต่างตอบแทนการเช่าที่ดินปลูกสร้างตึกแถวและอาคารระหว่างผู้ร้องกับจำเลยปลูกสร้างขึ้นถูกยึดไว้ด้วย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้อง ขอให้ถอนการยึดสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 72/1 ได้
แม้ผู้ร้องอ้างว่ามีสัญญาต่างตอบแทนการเช่าที่ดินของจำเลยเพื่อปลูกสร้างตึกแถวและอาคารลงในที่ดินของจำเลย แล้วยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเมื่อครบอายุสัญญาเช่าซึ่งขณะนี้ยังไม่ครบกำหนดอายุสัญญาก็ตามก็เป็นแต่เพียงสิทธิตามสัญญาเช่าอันมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนเท่านั้น การยึดที่ดินหาได้กระทบต่อสิทธิของผู้ร้องไม่ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ถอนการยึดที่ดินได้
แม้ผู้ร้องอ้างว่ามีสัญญาต่างตอบแทนการเช่าที่ดินของจำเลยเพื่อปลูกสร้างตึกแถวและอาคารลงในที่ดินของจำเลย แล้วยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเมื่อครบอายุสัญญาเช่าซึ่งขณะนี้ยังไม่ครบกำหนดอายุสัญญาก็ตามก็เป็นแต่เพียงสิทธิตามสัญญาเช่าอันมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนเท่านั้น การยึดที่ดินหาได้กระทบต่อสิทธิของผู้ร้องไม่ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ถอนการยึดที่ดินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4145/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน: คำมั่นซื้อฝ่ายเดียวยังไม่ผูกพันจนกว่าจำเลยแสดงเจตนาขาย
ตามสัญญาข้อ15ระบุว่าผู้จะซื้อสัญญาว่าจะซื้อที่ดินส่วนอื่นข้างเคียงทั้งหมดของผู้จะขายในราคาไร่ละ1,200,000บาทภายในกำหนด1ปีนับจากวันโอนมีเงื่อนไขและวิธีการชำระเงินตามสัญญาฉบับนี้หากผู้จะซื้อไม่ประสงค์จะซื้อที่ดินดังกล่าวข้างต้นผู้จะซื้อหรือผู้รับโอนยินยอมให้ผู้จะขายจดทะเบียนเป็นภารยทรัพย์เป็นทางกว้างอย่างน้อย8เมตรตรงตามขนาดและสภาพของถนนที่เป็นอยู่เดิมโดยต้องจดทะเบียนภารจำยอมณหอทะเบียนกรมที่ดินภายในกำหนด1เดือนนับแต่ผู้จะซื้อปฏิเสธการซื้อที่ดินดังกล่าวหรือ1ปีนับจากวันที่1818เมษายน2532และมีข้อความในวงเล็บว่าสำหรับที่ดินข้างเคียงที่ยังไม่มีการซื้อขายนี้ปรากฏตามผังหมึกสีเขียวท้ายสัญญานี้ดังนี้ตามสัญญาข้อดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์เพียงฝ่ายเดียวที่มีความประสงค์จะซื้อที่ดินข้างเคียงที่ดินจำนวน8โฉนดที่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้แล้วในข้อ1ถึงข้อ14โดยไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าจำเลยยอมตกลงจะขายที่ดินให้แก่โจทก์แต่อย่างใดคงมีแต่ข้อความว่าโจทก์ผู้จะซื้อสัญญาว่าจะซื้อที่ดินส่วนอื่นข้างเคียงทั้งหมดของผู้จะขายโดยมีเงื่อนไขว่าจะซื้อภายใน1ปีนับจากวันโอนที่ดินจำนวน8โฉนดที่จะซื้อจะขายกันโดยมีเงื่อนไขและวิธีการชำระเงินตามสัญญาจะซื้อจะขายหมายจ.1ข้อความในสัญญาข้อ15จึงเป็นเพียงคำมั่นของโจทก์เพียงฝ่ายเดียวที่แสดงความประสงค์ขอซื้อที่ดินจากจำเลยเท่านั้นต่อเมื่อจำเลยได้บอกกล่าวความจำนงว่าจะทำการซื้อขายให้สำเร็จตลอดไปและคำบอกกล่าวนั้นได้ไปถึงโจทก์ผู้ให้คำมั่นแล้วจึงจะมีผลเป็นสัญญาจะซื้อจะขายและบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาได้เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แสดงความจำนงจะทำการขายที่ดินให้โจทก์สัญญาข้อ15ตามสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมายจ.1จึงยังไม่เกิดผลเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่โจทก์จะบังคับให้จำเลยขายที่ดินให้โจทก์ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาหรือเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4105/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดในสัญญาจากการคาดการณ์ความเสียหายพิเศษ
โจทก์เป็นบริษัทจำกัดที่มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจในทางการค้าการที่โจทก์ว่าจ้างจำเลยทั้งสองให้ผลิตขาตั้งลำโพงและม้าไม้เพื่อส่งสินค้าดังกล่าวไปขายที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เช่นนี้ ค่าเสียหายของโจทก์ที่ต้องขาดกำไรเพราะไม่ได้นำสินค้าไปขาย จึงเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษที่จำเลยทั้งสองคาดเห็นได้ล่วงหน้าอยู่แล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3987/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาและการเรียกร้องค่าปรับ ศาลล่างวินิจฉัยเกินกรอบประเด็นข้อพิพาท
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิปรับจำเลยเป็นรายวันก่อนเลิกสัญญาได้ต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ จึงได้บอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าปรับเป็นรายวันก่อนเลิกสัญญา จำเลยให้การเพียงว่ามิได้ประพฤติผิดสัญญา โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่สุจริต และคดีโจทก์ขาดอายุความ โดยคำให้การจำเลยมิได้โต้เถียงว่าค่าปรับเป็นรายวันตามที่โจทก์ฟ้องไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบประการใด เท่ากับยอมรับว่าค่าปรับเป็นรายวันตามสัญญาในกรณีโจทก์บอกเลิกสัญญาด้วยเหตุจำเลยผิดสัญญาเป็นจำนวนตามที่โจทก์อ้าง คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันเป็นจำนวนตามฟ้องได้หรือไม่ ทั้งในการชี้สองสถานศาลก็ไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อนี้ไว้และปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ