คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คดีอาญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3521/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญาต่อรัฐ: เทศบาลไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 229,360 พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 117,118,120 และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ เป็นความผิดที่กระทำต่อรัฐเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการที่จะฟ้องร้องขอให้ลงโทษผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28(1)และพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. 2498 มาตรา 11(1) เอกชนจะฟ้องได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ แม้โจทก์จะเป็นเทศบาลและมีหน้าที่บำรุงทางบกทางน้ำ ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496มาตรา 50(2),53 มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษา คุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่อยู่ในเขตเทศบาลตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย และดูแลรักษาลำน้ำในเขตเทศบาลตามที่อธิบดีกรมเจ้าท่ามอบหมาย ตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับคดีอาญาหลังจำเลยเสียชีวิต และผลกระทบต่อคดีแพ่งเกี่ยวเนื่อง
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา การพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46เมื่อจำเลยที่ 4 ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามมาตรา 39(1) เมื่อศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยที่ 4 จากสารบบความแล้ว ศาลจะพิพากษาส่วนอาญาเกี่ยวกับจำเลยที่ 4 ไม่ได้ การเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4 เฉพาะคดีส่วนแพ่งก็ไม่อาจนำข้อเท็จจริงในคำพิพากษาส่วนอาญาเกี่ยวกับจำเลยอื่นมาฟังในคดีส่วนแพ่งของจำเลยที่ 4 ได้ การเรียกผู้จัดการมรดกของ จำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4 จึงไม่เป็นการสะดวก แก่การพิจารณาพิพากษา ศาลชั้นต้นไม่เรียกทายาทจำเลยที่ 4 เข้ามา ในคดีจึงชอบแล้ว ส่วนที่โจทก์ขอให้สั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เป็นคดีใหม่นั้น เป็น เรื่องที่โจทก์ต้องไปร้องขอต่อศาลชั้นต้น จะขอขึ้นมา ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับสิทธิฟ้องคดีอาญาเมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย และผลกระทบต่อการดำเนินคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่อง
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อจำเลยที่ 4ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปเมื่อศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยที่ 4 จากสารบบความแล้วศาลจะพิพากษาส่วนอาญาเกี่ยวกับจำเลยที่ 4 ไม่ได้ การเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4เฉพาะคดีส่วนแพ่งก็ไม่อาจฟังข้อเท็จจริงในคำพิพากษาส่วนอาญาเกี่ยวกับจำเลยอื่นมาฟังในคดีส่วนแพ่งของจำเลยที่ 4 ได้การเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4 จึงไม่เป็นการสะดวกแก่การพิจารณา ศาลย่อม ไม่อนุญาตให้เรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3231/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คดีอาญาข้อหาปลอมแปลงเอกสารสิทธิ: ศาลต้องพิจารณาอัตราโทษเพื่อวินิจฉัยว่าอุทธรณ์ได้หรือไม่
การอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงในคดีอาญานั้น ศาลจะต้องพิจารณาอัตราโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายสำหรับข้อหาแต่ละกระทงความผิดตามฟ้องว่าต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่ ไม่ใช่ความผิดที่พิจารณาได้ความข้อหาปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามฟ้อง มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาทคดีโจทก์ในข้อหาดังกล่าวจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3146/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา: ศาลต้องใช้ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา หากคดีอาญาตัดสินว่าไม่ประมาท คดีแพ่งก็ต้องฟังตาม
คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จำเลยที่ 1ถูกพนักงานอัยการกองคดีแขวงพระนครใต้เป็นโจทก์ฟ้อง ซึ่งมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารชน ช. โดยประมาทหรือไม่ การฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าว ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 คดีอาญาดังกล่าวฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ ดังนี้ศาลจะต้องฟังในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 1มิได้ขับรถยนต์โดยสารชน ช. โดยประมาทการกระทำของจำเลยที่ 1ย่อมไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3103/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: การพิจารณาคดีอาญาที่ศาลไม่มีอำนาจเหนือสถานที่เกิดเหตุหรือภูมิลำเนาจำเลย
เหตุมิได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสีคิ้ว และจำเลยทั้งสองไม่เคยมีที่อยู่หรือถูกจับหรือถูกสอบสวนในท้องที่ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสีคิ้ว ศาลจังหวัดสีคิ้วจึงไม่มีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีนี้ ขณะยื่นฟ้องคดี จำเลยทั้งสองกำลังต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดอยู่ที่เรือนจำซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสีคิ้วเรือนจำก็หาใช่ท้องที่ที่จำเลยทั้งสองมีที่อยู่ไม่ และแม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535 จะบัญญัติให้เรือนจำหรือทัณฑสถาน ที่ผู้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายถูกจำคุกอยู่เป็นภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกจนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว บทบัญญัติดังกล่าวก็มีผลใช้บังคับภายหลังที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้แล้ว ไม่อาจถือว่าในขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ที่เรือนจำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2994/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสอบสวนคดีอาญาของพนักงานสอบสวนกองปราบปรามที่เกิดนอกเขตท้องที่
การที่จะพิจารณาว่าพนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนหรือไม่จะต้องพิจารณาข้อบังคับทั้งหลายซึ่งว่าด้วยอำนาจและหน้าที่ของตำรวจประกอบด้วย ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 16เมื่อตามระเบียบกรมตำรวจและประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องกำหนดหน่วยงานและเขตอำนาจการรับผิดชอบฯของหน่วยราชการในกรมตำรวจ ระบุไว้ในข้อ 7ว่า กองกำกับการ 7 มีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีอาญาต่าง ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ฯลฯทั่วราชอาณาจักรซึ่งเป็นข้อบังคับว่าด้วยอำนาจ และ หน้าที่ของตำรา ดังนั้น พนักงานสอบสวน ในกองกำกับการ 7 กองปราบปรามจึงมีอำนาจสอบสวนคดี ความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งเหตุเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2881/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำกัดสิทธิฎีกาในคดีอาญาเมื่อศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษเล็กน้อยและลงโทษจำคุกเกินห้าปี
ศาลชั้นต้นพิพากษาข้อหาความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 233 ปี 4 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 16 ปี8 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เฉพาะโทษให้จำคุกจำเลยที่ 113 ปี 4 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 6 ปี 8 เดือน เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยเกินห้าปี ต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2475/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญา: การสอบสวนโดยชอบและการยืนยันของผู้สอบสวนเป็นปัจจัยสำคัญ
เหตุคดีนี้เกิดที่อำเภอตรวน และพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอตรอนยืนยันว่าเป็นผู้สอบสวน ซึ่งจำเลยที่ 2 มิได้ซักค้านในข้อนี้เพื่อให้เห็นว่าการสอบสวนไม่ชอบแต่อย่างใด จึงฟังได้ว่ามีการสอบสวนโดยชอบแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์ฎีกาในคดีอาญา แม้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ หากศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ
แม้ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ศาลชั้นต้นลงโทษปรับ 100 บาท จะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ และศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยในข้อหาความผิดนี้มาแล้วก็ตาม เมื่อศาลอุทธรณ์ใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาให้ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดดังกล่าวนี้ได้
of 312