พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2117/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบ: การไม่ระบุเหตุผลคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ทำให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาที่มิได้กล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไม่ชอบเพราะเหตุใด เป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินพังทลายเป็นทางน้ำสาธารณะกลายเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามคำพิพากษาชอบด้วยกฎหมาย
ที่พิพาทเป็นที่ดินมีโฉนด แต่ได้พังทลายเป็นทางน้ำสาธารณะไปแล้ว ย่อมกลายเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 171/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าช่วงอสังหาริมทรัพย์ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ หากไม่มีหลักฐานถือเป็นบริวารลูกหนี้ตามคำพิพากษา
การเช่าช่วงอสังหาริมทรัพย์ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 คือจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญใบเสร็จรับเงินซึ่งมิได้มีลายมือชื่อของผู้ให้เช่าหรือผู้ให้เช่าช่วงไม่ใช่หลักฐานการเช่า ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาและยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 จัตวา (3) จะต้องมีหลักฐานเบื้องต้นมาแสดงต่อศาลเมื่อตามคำร้อง ของ ผู้ร้องปรากฏว่าผู้ร้องเช่าช่วงตึกแถวพิพาทจากจำเลยโดยไม่มีสัญญาเช่ากับจำเลยหรือโจทก์ และมิได้มีหลักฐานการเช่ามาแสดง ทั้งมิใช่เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าเพราะเงินกินเปล่าที่ผู้ร้องอ้างว่าได้เสียให้ไป มิใช่เงินช่วยค่าก่อสร้างตึกแถวพิพาท ผู้ร้องจึงไม่อาจยกการเช่าช่วงขึ้นใช้ยันโจทก์ได้ ไม่ว่าโจทก์จะรู้เห็นยินยอมด้วยหรือไม่ กรณีถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจพิเศษตามบทกฎหมายดังกล่าวผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลย ศาลจึงต้องยกคำร้องของผู้ร้อง และศาลสั่งคำร้องโดยไม่ไต่สวนคำร้องก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1145/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของร่วมที่ดิน แม้ไม่ได้ฎีกาเอง ก็ได้รับผลจากคำพิพากษา หากเป็นเรื่องชำระหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้
ในคดีพิพาทกันเรื่องที่ดิน เมื่อศาลฎีกาฟังว่าโจทก์และโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกัน แม้ในชั้นฎีกาจะมีเพียงโจทก์ร่วมผู้เดียวฎีกาโดยโจทก์มิได้ฎีกา แต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้มีผลถึงโจทก์ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา245(1)247.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 778/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาคดีอาญาไม่ผูกพันโจทก์ในคดีแพ่ง กรณีโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง
แม้พนักงานอัยการจะได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และ ส.ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43157 และศาลพิพากษาลงโทษ ส. แต่ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ก็ตาม เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากมูลกรณีรถชนกัน และในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบกโจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องหรือขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ พนักงานอัยการจึงไม่อยู่ในฐานะฟ้องคดีอาญาแทนโจทก์ ผลแห่งคำพิพากษาคดีอาญาจึงไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งฟ้องคดีแพ่งว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างโดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ที่ ส. ลูกจ้างโจทก์เป็นผู้ขับ เพราะโจทก์ไม่ใช่คู่ความรายเดียวกัน จึงต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำในคดีอาญา: สิทธิระงับเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันป๊อก ที่บ้านจำนวน2 วง โดย แต่ละวงมีผู้เข้าร่วมเล่นหลายคน การกระทำของจำเลยที่ 1จึงเป็นความผิดกรรมเดียว แต่ โจทก์ได้ ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็น 2 คดีตาม จำนวนวงการพนันในข้อหาว่าเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันป๊อกเมื่อคดีสำนวนหนึ่งศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลยที่ 1ไปแล้วสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 อีกคดีหนึ่งย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(4).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4765/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งเจตนาในการกระทำผิด: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลล่าง
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยกระทำอย่างไร มีเจตนาอย่างไรเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลล่างทั้งสองฟังว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์จะได้ทรัพย์ จึงได้ทำร้ายผู้เสียหายเพื่อเอาทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยโต้เถียงว่า ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น จำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายอย่างเดียวก่อน เมื่อผู้เสียหายสลบไปแล้วจำเลยจึงมีเจตนาเอาทรัพย์ไปภายหลัง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้องนั้น เป็นฎีกาที่โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมา ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้ตามคำพิพากษาศาล: จุดเริ่มต้นของหนี้และการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระเงินค่าสินค้า 429,377 บาทแก่โจทก์ และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้งเป็นเงินประมาณ 430,000 บาท แต่เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วโจทก์จำเลยต่างไม่มีหนี้ต่อกันพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้ง คดีมีปัญหาในชั้นอุทธรณ์เฉพาะค่าสินค้าตามฟ้อง ส่วนค่าเสียหายตามฟ้องแย้งไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยจะต้องรับผิดในค่าสินค้าต่อโจทก์เป็นเงิน 353,877.44 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องศาลฎีกาพิพากษายืน ดังนี้ หนี้จำนวน 430,000 บาท ที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเกิดขึ้นตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยจึงมีสิทธิขอหักกลบลบหนี้อันเป็นผลให้จำเลยหลุดพ้นหนี้ของตนในส่วนที่ต้องชำระให้โจทก์เท่าที่หักกลบลบหนีกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 ได้ตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา หาใช่ตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ซึ่งเมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้ว จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์ ศาลชั้นต้นจึงต้องออกคำบังคับให้จำเลยชำระหนี้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ผลของการบังคับตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระเงินค่าสินค้า 429,377 บาทแก่โจทก์ และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้งเป็นเงินประมาณ 430,000บาท แต่เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วโจทก์จำเลยต่างไม่มีหนี้ต่อกันพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้ง คดีมีปัญหาในชั้นอุทธรณ์เฉพาะค่าสินค้าตามฟ้อง ส่วนค่าเสียหายตามฟ้องแย้งไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยจะต้องรับผิดในค่าสินค้าต่อโจทก์เป็นเงิน353,877.44 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องศาลฎีกาพิพากษายืน ดังนี้ หนี้จำนวน 430,000 บาท ที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเกิดขึ้นตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยจึงมีสิทธิขอหักกลบลบหนี้อันเป็นผลให้จำเลยหลุดพ้นหนี้ของตนในส่วนที่ต้องชำระให้โจทก์เท่าที่หักกลบลบหนีกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 ได้ตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา หาใช่ตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ซึ่งเมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้ว จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์ ศาลชั้นต้นจึงต้องออกคำบังคับให้จำเลยชำระหนี้โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4473/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำในความผิดเช็ค – สิทธิระงับเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดแม้คดีอุทธรณ์
ผู้เสียหายเคยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในการกระทำความผิดเดียวกันกับคดีนี้จนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แม้คดีจะอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ก็ถือได้ว่าความผิดของจำเลยซึ่งได้ฟ้องนั้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว สิทธิของพนักงานอัยการโจทก์ที่จะนำคดีอาญามาฟ้องจำเลยคดีนี้ในความผิดเกี่ยวกับเช็คพิพาทรายเดียวกับคดีก่อนจึงระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)