คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6455/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับบัญชีระบุพยานหลังพ้นกำหนด & ข้อจำกัดการอุทธรณ์ฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อย
การที่จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยหลังจากระยะเวลากำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88วรรคหนึ่งได้สิ้นสุดลงแล้วโดยอ้างว่ามีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตนั้นเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วใช้ดุลพินิจอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88ให้อำนาจไว้เมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง27,500บาทคู่ความจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งและมาตรา248วรรคหนึ่งตามลำดับการที่โจทก์อุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นอันเป็นการอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาย่อมกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 63/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาเรื่องทุนทรัพย์และอำนาจฟ้องของบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ทั้งสองแต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่ปี2476ก่อนประกาศใช้บทบัญญัติบรรพ5แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์พ.ศ.2477แม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันก็เป็นสามีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์ทั้งสองจึงเป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายมีอำนาจฟ้องแม้มิได้บรรยายในคำฟ้องว่าเป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์ทั้งสองก็สามารถนำสืบถึงสถานภาพการสมรสของโจทก์ทั้งสองได้เพราะเป็นเรื่องรายละเอียดที่จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณาจึงไม่เป็นการนำสืบพยานหลักฐานนอกคำฟ้อง โจทก์ทั้งสองต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์แต่ละคนฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดฐานละเมิดมาในคำฟ้องเดียวกันจึงต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองรวม240,000บาทก็ถือว่าทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์แต่ละคนคือคนละ120,000บาทการที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์แต่ละคนไม่เกิน200,000บาทซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ม. ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยทั้งสองและไม่ได้กระทำในทางการที่จ้าง ม. ไม่ได้เป็นฝ่ายประมาทและค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์แต่ละคนสูงเกินไปเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการกำหนดค่าเสียหายของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6238/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยส่วนของจำเลยที่ 1 เนื่องจากมิได้อุทธรณ์คดี ทำให้คดีส่วนนั้นยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำเลยที่1มิได้อุทธรณ์คดีในส่วนจำเลยที่1จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค1ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249แม้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6195/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216: โต้แย้งเฉพาะคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ฎีกาจำเลยกล่าวถึงคำฟ้องของโจทก์ คำให้การจำเลยคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แล้วย่อหน้าใหม่ว่า "ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังเหตุผลและข้อเท็จจริงที่จำเลยจะได้ประทานกราบเรียนต่อศาลดังนี้..." และลงท้ายว่า "ดังเหตุผลที่จำเลยได้ประทานกราบเรียนต่อศาลมาแล้วข้างต้นขอศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง แล้วมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย" ส่วนเนื้อหาที่เป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลล้วนเป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นทั้งสิ้น แม้คำขอท้ายฎีกาก็ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งคัดค้านเฉพาะคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิได้โต้แย้งคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ชอบอย่างไร ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 613/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาเรื่องเพิกถอนโฉนดที่ดิน: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงเนื่องจากทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยที่1ที่สั่งเพิกถอนโฉนดเลขที่12046ของโจทก์และการออกใบแทนโฉนดที่ดินที่จำเลยที่2กระทำตามคำสั่งของจำเลยที่1เป็นการมิชอบและห้ามจำเลยที่3เกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ด้วยนั้นแม้ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่1และที่2จะมีลักษณะเหมือนกับคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แต่ย่อมเห็นได้ว่าหากมีการเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่1จะมีผลให้โจทก์ได้รับที่ดินที่ถูกเพิกถอนกลับคืนมาเป็นของโจทก์และโจทก์ยังมีคำขอให้ศาลห้ามจำเลยที่3เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกด้วยจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ โจทก์ฎีกาขอให้ศาลวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบน่าเชื่อกว่าพยานหลักฐานของจำเลยคำสั่งของจำเลยที่1ที่ให้เพิกถอนโฉนดเลขที่12046ของโจทก์เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบนั้นเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6058/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ห้องพิพาทกับที่ดิน และข้อจำกัดการฎีกาเรื่องทุนทรัพย์
โจทก์ฎีกาว่า ห้องพิพาทเป็นส่วนควบกับที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1เช่ามาจาก จ. ไม่ได้ซื้อมาจาก บ. ห้องพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ห้องพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ฎีกาโจทก์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าห้องพิพาทมีราคาไม่เกิน 15,000 บาท แม้รวมกับค่าเสียหายจำนวน 24,000 บาท ที่โจทก์เรียกร้อง ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์ก็ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท โดยอ้างว่าสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยทั้งสามอยู่อาศัยเป็นของโจทก์ จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินกับห้องพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสามโดยการครอบครอง-ปรปักษ์ ปัญหาว่าห้องพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสามหรือไม่ จึงเป็นประเด็นในคดีโดยตรง ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ในห้องพิพาทโดยให้จำเลยรื้อถอนออกไปได้ตามฟ้องแย้ง ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือนอกฟ้องนอกประเด็นแต่อย่างใด
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยทั้งสามแล้วสั่งว่า จำเลยทั้งสามยังไม่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังโจทก์มิได้คัดค้านอุทธรณ์คำสั่งจึงต้องถือว่ายุติ กรณีมิใช่สั่งอนุญาตขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้แก่จำเลยทั้งสาม ข้อความที่จำเลยทั้งสามฎีกาได้กล่าวโดยละเอียดถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ซึ่งเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยแจ้งชัดตรงตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ จึงเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่เป็นฎีกาเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6025/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งอุทธรณ์มีผลเสมือนมิได้อุทธรณ์ และข้อจำกัดการฎีกาในประเด็นใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าอาคารให้แก่จำเลยมีกำหนด 20 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญาจองอาคาร จำเลยอุทธรณ์แต่ทิ้งอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำหน่ายคดีสำหรับอุทธรณ์ของจำเลยออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ จำเลยฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลฎีกาพิพากษายืน การทิ้งอุทธรณ์ของจำเลยมีผลเสมือนหนึ่งว่าจำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์นั้นเลยคงมีแต่โจทก์ฝ่ายเดียวที่อุทธรณ์ ข้ออ้างที่จำเลยฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองจึงเป็นอันยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ระยะเวลาการเช่าจะเริ่มนับแต่วันทำสัญญาเช่าไม่ได้ และคดีในส่วนที่โจทก์อุทธรณ์นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาเช่ามีกำหนด 20 ปี จะต้องเริ่มนับตั้งแต่วันทำสัญญาเช่า ไม่ใช่วันทำสัญญาจอง และคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น จึงเป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6025/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งอุทธรณ์มีผลเสมือนมิได้ยื่นอุทธรณ์ และข้อจำกัดในการฎีกาประเด็นนอกเหนือจากที่เคยยกขึ้นในศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าอาคารให้แก่จำเลยมีกำหนด20ปีนับแต่วันที่ทำสัญญาจองอาคารจำเลยอุทธรณ์แต่ทิ้งอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำหน่ายคดีสำหรับอุทธรณ์ของจำเลยออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์จำเลยฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปศาลฎีกาพิพากษายืนการทิ้งอุทธรณ์ของจำเลยมีผลเสมือนหนึ่งว่าจำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์นั้นเลยคงมีแต่โจทก์ฝ่ายเดียวที่อุทธรณ์ข้ออ้างที่จำเลยฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองจึงเป็นอันยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าระยะเวลาการเช่าจะเริ่มนับแต่วันทำสัญญาเช่าไม่ได้และคดีในส่วนที่โจทก์อุทธรณ์นั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาเช่ามีกำหนด20ปีจะต้องเริ่มนับตั้งแต่วันทำสัญญาเช่าไม่ใช่วันทำสัญญาจองและคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นจึงเป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6025/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งอุทธรณ์มีผลเสมือนมิได้ยื่น และข้อจำกัดในการฎีกาประเด็นใหม่ที่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าอาคารให้แก่จำเลยมีกำหนด20ปีนับแต่วันที่ทำสัญญาจองอาคารจำเลยอุทธรณ์แต่ทิ้งอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำหน่ายคดีสำหรับอุทธรณ์ของจำเลยออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์จำเลยฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปศาลฎีกาพิพากษายืนการทิ้งอุทธรณ์ของจำเลยมีผลเสมือนหนึ่งว่าจำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์นั้นเลยคงมีแต่โจทก์ฝ่ายเดียวที่อุทธรณ์ข้ออ้างที่จำเลยฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองจึงเป็นอันยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นวาระยะเวลาการเช่าจะเริ่มนับแต่วันทำสัญญาเช่าไม่ได้และคดีในส่วนที่โจทก์อุทธรณ์นั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาเช่ามีกำหนด20ปีจะต้องเริ่มนับตั้งแต่วันทำสัญญาเช่าไม่ใช่วันทำสัญญาจองและคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นจึงเป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทใหม่ในฎีกา: การยกข้อเท็จจริงที่ไม่ได้พิจารณาในศาลชั้นต้นถือเป็นการไม่ชอบ
ข้อโต้เถียงที่ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะที่ประชาชน ใช้ประโยชน์ร่วมกันหรือไม่ ศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ การที่โจทก์กล่าวในฎีกาว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน จำเลยไม่มีสิทธิ ทำลายหรือปิดกั้นทางดังกล่าว รวมทั้งไม่มีสิทธิห้ามโจทก์มิให้ใช้ทางพิพาท เป็นการยกข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นขึ้นมาใหม่ เป็นการไม่ชอบต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
of 303