พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,733 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4621/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าหุ้นสหกรณ์: ข้อบังคับภายในไม่ผูกพันเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
ตามข้อบังคับของสหกรณ์ผู้ร้อง จำเลยมีสิทธิเรียกร้องเงินค่าหุ้นต่อเมื่อได้มีการคืนหุ้นแก่จำเลย ซึ่งจะมีได้ 2 กรณี คือเมื่อจำเลยขาดจากสมาชิกภาพสหกรณ์ผู้ร้อง และเมื่อสหกรณ์ชำระบัญชีแล้วมีเงินเหลือคืนแก่จำเลย เมื่อจำเลยยังไม่ขาดจากสมาชิกภาพสหกรณ์ผู้ร้อง และสหกรณ์ผู้ร้องยังไม่เลิก สิทธิเรียกร้องเงินค่าหุ้นของจำเลยที่มีต่อผู้ร้องยังไม่เกิดขึ้น แต่ข้อบังคับของผู้ร้องมิใช่กฎหมาย เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจัดวางระเบียบบริหารงานภายในของผู้ร้องข้อบังคับของผู้ร้องจึงไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ศาลย่อมอายัดเงินค่าหุ้นของจำเลยต่อผู้ร้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะสมรสไม่มีการหมั้น: สิทธิเรียกร้องค่าทดแทน
ไม่มีบทมาตราใดบัญญัติว่า ในกรณีที่ไม่มีการหมั้น หากฝ่ายใดผิดสัญญาจะสมรส ให้ฝ่ายนั้นรับผิดใช้ค่าทดแทนอย่างเช่นกรณีที่มีการหมั้น ฉะนั้นเมื่อโจทก์และจำเลยตกลงกันว่าจะสมรสหรือจดทะเบียนสมรสโดยไม่มีการหมั้น จึงอยู่นอกขอบเขตที่กฎหมายรับรอง แม้จำเลยไม่ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะสมรสไม่มีการหมั้น: สิทธิเรียกร้องค่าทดแทน
การเรียกค่าทดแทนเนื่องจากผิดสัญญาหรือข้อตกลงเกี่ยวกับการสมรสนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439 บัญญัติไว้เป็นพิเศษให้เรียกได้เฉพาะกรณีที่มีการหมั้นเท่านั้น เมื่อโจทก์จำเลยตกลงจะสมรสกันโดยไม่มีการหมั้น จึงนอกขอบเขตที่กฎหมายรับรอง แม้จำเลยไม่ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ โจทก์ก็เรียกค่าทดแทนไม่ได้ การที่โจทก์ต้องใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส ต้องเสียพรหมจารีให้แก่จำเลย และอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับจำเลย โดยจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ เกิดจากความสมัครใจของโจทก์ไม่เป็นเหตุที่จะถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ คำฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์ยินยอมสมรสกับจำเลย จำเลยให้โจทก์เป็นฝ่ายเตรียมจัดพิธีมงคลสมรสแต่ฝ่ายเดียว และจำเลยได้มอบเงินช่วยเหลือในการเตรียมจัดงานสมรสเป็นเงิน 11,000 บาท ที่โจทก์ฎีกาว่า เงินจำนวน 11,000 บาท ที่จำเลยมอบให้ฝ่ายหญิงเป็นของหมั้นนั้น คำฟ้องเดิมกับฎีกาโจทก์ขัดแย้งกัน ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงเป็นเรื่องนอกประเด็น และไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4417/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการฉ้อฉล: ฟ้องไม่เคลือบคลุมแม้ไม่ได้ระบุทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้หรือลำดับการใช้สิทธิเรียกร้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหนี้โจทก์ได้ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยทั้งสองทราบดีว่าจะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าว ดังนี้เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ในเรื่องเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 โดยไม่จำต้องบรรยายว่าจำเลยที่ 1 จะมีหรือไม่มีทรัพย์สินอื่นนอกจากที่พิพาทหรือไม่ และโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องก่อนหรือหลังจำเลยที่ 1 โอนที่พิพาทให้จำเลยที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4117/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ให้เช่าซื้อรับชำระค่างวดต่อหลังจำเลยใช้รถผิดกฎหมาย ย่อมเป็นการรู้เห็นเป็นใจและไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน
จำเลยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อมาจากผู้ร้องไปใช้กระทำความผิดโดยผู้ร้องรู้และมิได้บอกเลิกสัญญาแต่กลับรับชำระค่าเช่าซื้อต่อไปอีก พฤติการณ์ของ ผู้ร้องจึงเป็นเพียงประสงค์จะได้รับค่าเช่าซื้อเท่านั้น และการที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง ก็เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่จะได้รับรถยนต์ของกลางไปจากผู้ร้องในภายหลังอันถือได้ว่าเป็นการร่วมรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 407/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้ร้องตามคำพิพากษา vs. สิทธิของเจ้าหนี้ในการยึดทรัพย์ก่อนมีคำพิพากษา
แม้โจทก์ยึดที่พิพาทก่อนศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องก็ตาม แต่ต่อมาเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยขายที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องย่อมถือได้ว่าผู้ร้องมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ตราบใดที่ยังไม่มีการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท ผู้ร้องย่อมใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3973/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าและการโอนสิทธิเรียกร้อง: ผู้ครอบครองก่อนมีสิทธิเหนือกว่า แม้ทำสัญญาก่อน
เทศบาลเมืองสมุทรปราการซึ่งมีสิทธิในที่ดินราชพัสดุที่ตั้งของอาคารพิพาท ได้ทำสัญญาให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ ในที่ดินดังกล่าวโดยใช้ทุนของจำเลยที่ 1 และให้โอนกรรมสิทธิ์แก่ กระทรวงการคลัง โดยให้สิทธิจำเลยที่ 1 เช่าอาคารจาก กระทรวงการคลัง เป็นเวลา 20 ปี และยอมให้จำเลยที่ 1โอนสิทธิการเช่าอาคารได้ ทั้งนี้ เทศบาลเมืองสมุทรปราการจะเป็นผู้นำจำเลยที่ 1 หรือบุคคลอื่นซึ่งจำเลยที่ 1 โอนสิทธิการเช่าให้ไปทำสัญญาเช่ากับ กระทรวงการคลัง โดยตรง เมื่อจำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารแล้ว โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทรวม 3 คูหาจากจำเลยที่ 1 หลังจากนั้นจำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญาเช่าอาคารคูหาเดียวกันจากจำเลยที่ 1 อีกซึ่งทั้งโจทก์และจำเลยที่ 3 ต่างมิได้จดทะเบียนสิทธิการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพียงแต่ตามสัญญากำหนดว่าจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้จัดให้ผู้เช่าเป็นผู้ทำสัญญาโดยตรงกับเทศบาลเมืองสมุทรปราการ กรณีดังกล่าวมิใช่การเช่าช่วงแต่มีลักษณะเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ที่มีต่อเทศบาลเมืองสมุทรปราการและ กระทรวงการคลัง ให้แก่โจทก์หรือจำเลยที่ 3เมื่อไม่ปรากฏว่าทั้งโจทก์และจำเลยที่ 3 ได้จัดให้มีการแจ้งการโอนสิทธิการเช่าดังกล่าวให้เทศบาลเมืองสมุทรปราการทราบ กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 307 ที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์หรือจำเลยที่ 3 มีสิทธิในอาคารพิพาทดีกว่ากันทั้งไม่มีกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีโดยตรง ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 มาใช้ โดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งคือ มาตรา 543(3) คดีนี้แม้โจทก์จะทำหนังสือสัญญาโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทกับจำเลยที่ 1 ก่อนจำเลยที่ 3 ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ได้เข้าครอบครองอาคารพิพาทแล้ว จึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนการเช่าและไม่ได้เข้าครอบครองอาคารพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3706/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย: เจ้าหนี้ต้องแสดงหลักฐานสิทธิเรียกร้องไม่ขาดอายุความ
ในการสอบสวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระหนี้ เจ้าหนี้ให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ซ. นำเช็คของจำเลยมาแลกเงินสดไปจากเจ้าหนี้ ไม่ได้กล่าวว่าเจ้าหนี้ได้นำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายก่อนเช็คขาดอายุความ เจ้าหนี้เพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวโต้เถียงในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในชั้นสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
หนี้ตามเช็คที่ขาดอายุความซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 94(1) นั้น เจ้าหนี้มีหน้าที่ต้องแสดงให้เห็นว่าสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวยังไม่ขาดอายุความเพราะเหตุที่นำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายก่อนแล้ว หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องสอบสวนถึงข้อเท็จจริงนั้นไม่
หนี้ตามเช็คที่ขาดอายุความซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 94(1) นั้น เจ้าหนี้มีหน้าที่ต้องแสดงให้เห็นว่าสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวยังไม่ขาดอายุความเพราะเหตุที่นำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายก่อนแล้ว หาใช่เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องสอบสวนถึงข้อเท็จจริงนั้นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3613/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้และการคิดดอกเบี้ยทบต้น ศาลยืนตามสิทธิเรียกร้องเดิมในต้นเงิน
แม้จำเลยยอมรับตามหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวนเงินตามเช็คทั้งสองฉบับกับดอกเบี้ยค้างชำระเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 71,058.78 บาท ก็ตามแต่ในหนังสือดังกล่าวก็ระบุไว้ชัดว่าจำเลยตกลงจะขอชำระหนี้จำนวน 20,000 บาท ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2524และขอผ่อนชำระหนี้ที่เหลือเดือนละ 2,000 บาท ภายในสิ้นเดือนของทุกเดือนเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2524 หากผิดนัดยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีตามปกติ กับขอให้โจทก์งดคิดดอกเบี้ยในระหว่างผ่อนชำระและลดหย่อนให้บ้าง หาได้รับสภาพหนี้ในต้นเงิน71,058.78 บาท โดยยินยอมให้โจทก์เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้ากับต้นเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแล้วคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา655 ไม่ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในต้นเงิน30,000 บาท ตามเช็คทั้งสองฉบับรวมกัน ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่เดิมต่อจำเลยผู้เป็นลูกหนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3496/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิร้องสอดหลังมีคำพิพากษา: ต้องมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับการบังคับคดีโดยตรง
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) อ้างว่า ผู้ร้องสอดถูกเจ้าหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งผู้ร้องสอดเป็นผู้รับอาวัลฟ้องให้รับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินร่วมกับจำเลย ดังนี้ ผู้ร้องสอดยังไม่ได้มีสิทธิเรียกร้องใดเหนือทรัพย์สินที่จำเลยต้องโอนให้โจทก์ตามคำพิพากษา จึงหาใช่เป็นกรณีที่ผู้ร้องสอดมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องสอด