พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,083 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 268/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล่อยที่ดินจากการบังคับคดี: เจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมและสิทธิครอบครองเกิน 10 ปี
โจทก์นำยึดที่ดินทั้งแปลงตามโฉนดเนื้อที่ 79 ไร่.ผู้ร้องขอให้ปล่อยที่ดินบางส่วนเนื้อที่ 29 ไร่เศษ. ศาลพิพากษาให้ปล่อยที่ดินทั้งแปลงเนื้อที่ 79 ไร่เศษได้.ในเมื่อฟังได้ว่าจำเลยไม่มีส่วนเป็นเจ้าของที่ดินในโฉนดนั้นเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 970/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองจากการสละการครอบครอง แม้นิติกรรมหลักเป็นโมฆะ
แม้สัญญาขายฝากที่ดินจะเป็นโมฆะเพราะไม่ได้จดทะเบียน แต่เมื่อข้อความในสัญญาขายฝากนั้นมีว่า ถ้าผู้ขายฝากไม่ไถ่คืนใน 6 เดือน ผู้ขายฝากสละสิทธิครอบครองให้เป็นสิทธิของผู้ซื้อฝาก เมื่อผู้ซื้อฝากครอบครองที่ดินต่อมาอาจได้สิทธิครอบครองโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 970/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้สิทธิครอบครองโดยการสละการครอบครองของผู้เดิม แม้สัญญานิติกรรมหลักเป็นโมฆะ
แม้สัญญาขายฝากที่ดินจะเป็นโมฆะเพราะไม่ได้จดทะเบียนแต่เมื่อข้อความในสัญญาขายฝากนั้นมีว่า ถ้าผู้ขายฝากไม่ไถ่คืนใน 6 เดือน ผู้ขายฝากสละสิทธิครอบครองให้เป็นสิทธิของผู้ซื้อฝาก เมื่อผู้ซื้อฝากครอบครองที่ดินต่อมาอาจได้สิทธิครอบครองโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 909/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์หลังสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ การโอนการครอบครองทำให้ผู้ซื้อได้สิทธิครอบครอง
โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่พิพาทเป็นที่ป่าเป็นของจำเลยจำเลยให้โจทก์บุกเบิกแล้วจำเลยได้ขายที่พิพาทนั้นให้แก่โจทก์ โจทก์ใช้สิทธิครอบครองทำประโยชน์ ต่อมาจำเลยบุกรุกที่พิพาท ขอให้แสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ดังนี้คำฟ้องโจทก์มีสภาพแห่งข้อหาว่าโจทก์ใช้สิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามีว่า จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์แล้วโจทก์ได้ครอบครอง เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ จึงเป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย ส่วนที่ว่าเดิมที่พิพาทเป็นที่ป่าหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีและไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
ทำสัญญาซื้อขายที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน โดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้จะเป็นโมฆะ แต่เมื่อผู้ขายโอนการครอบครองให้ผู้ซื้อ และผู้ซื้อได้ยึดถือครอบครองที่ดินนั้นเป็นเวลากว่า 4 ปี ดังนี้ การครอบครองของผู้ขายย่อมสุดสิ้นลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377,1378 ผู้ซื้อย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินนั้น
ทำสัญญาซื้อขายที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน โดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้จะเป็นโมฆะ แต่เมื่อผู้ขายโอนการครอบครองให้ผู้ซื้อ และผู้ซื้อได้ยึดถือครอบครองที่ดินนั้นเป็นเวลากว่า 4 ปี ดังนี้ การครอบครองของผู้ขายย่อมสุดสิ้นลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377,1378 ผู้ซื้อย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 863/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า แม้ไม่มีหนังสือ ก็มีผลผูกพันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
แม้การซื้อขายไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะเป็นโมฆะก็ดี แต่ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า ผู้ขายมีแต่เพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น เมื่อผู้ขายได้ส่งมอบที่พิพาทให้ผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขาย ก็ฟังได้ว่าผู้ขายได้สละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือที่พิพาทต่อไป การครอบครองของผู้ขายสิ้นสุดลงแล้ว ผู้ซื้อได้รับโอนการครอบครอง ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิการครอบครองที่พิพาทนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 , 1378 แล้ว ผู้ขายจะมาฟ้องเรียกที่พิพาทคืนไม่ได้
โจทย์ฟ้องว่าขายฝาก จำเลยสู้ว่าขายขาด ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขายขาดข้อกฎหมายก็ฟังได้ดังกล่าวข้างต้น จึงควรฟังคำพยานให้ข้อเท็จจริงได้ความก่อน
โจทย์ฟ้องว่าขายฝาก จำเลยสู้ว่าขายขาด ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขายขาดข้อกฎหมายก็ฟังได้ดังกล่าวข้างต้น จึงควรฟังคำพยานให้ข้อเท็จจริงได้ความก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 863/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า แม้ไม่มีหนังสือก็มีผลได้ หากมีการส่งมอบและสละเจตนาครอบครอง
แม้การซื้อขายไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะเป็นโมฆะก็ดี แต่ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า ผู้ขายมีแต่เพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น เมื่อผู้ขายได้ส่งมอบที่พิพาทให้ผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขายก็ฟังได้ว่าผู้ขายได้สละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือที่พิพาทต่อไป การครอบครองของผู้ขายสิ้นสุดลงแล้ว ผู้ซื้อได้รับโอนการครอบครอง ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิการครอบครองที่พิพาทนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378 แล้ว ผู้ขายจะมาฟ้องเรียกที่พิพาทคืนไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่าขายฝาก จำเลยสู้ว่าขายขาด ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขายขาด ข้อกฎหมายก็ฟังได้ดังกล่าวข้างต้นจึงควรฟังคำพยานให้ข้อเท็จจริงได้ความก่อน
โจทก์ฟ้องว่าขายฝาก จำเลยสู้ว่าขายขาด ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขายขาด ข้อกฎหมายก็ฟังได้ดังกล่าวข้างต้นจึงควรฟังคำพยานให้ข้อเท็จจริงได้ความก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน: การแย่งการครอบครองและการไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี ทำให้เสียสิทธิเรียกร้องคืน
โจทก์มอบที่นาพิพาทให้สามีจำเลยทำกินตั้งแต่ปี 2488 ต่อมาปี 2492 สามีจำเลยขอรังวัดออกโฉนด โจทก์ร้องคัดค้าน ดังนี้ ถือว่าสามีจำเลยแสดงออกแล้วว่าจะเอาที่นานั้นเสียเอง มิได้ยึดถือแทนโจทก์ต่อไป โจทก์หาได้ฟ้องคดีเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองจากสามีจำเลยไม่ จำเลยได้ขอรังวัดออกโฉนดที่ 2497 แย่งการออกโฉนดกับโจทก์จนโจทก์ร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ปล่อยให้จำเลยยึดถือที่ดินเพื่อตนเองเป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว โจทก์จะเรียกร้องเอาคืนซึ่งการครอบครองหาได้ไม่
ที่ดินซึ่งมีแต่สิทธิ์ครอบครอง ผู้ที่จะได้สิทธิ์ในที่ดินประเภทนี้ต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้น หรือมีผู้ยึดถือแทน หากโจทก์ขาดการยึดถือโดยมีผู้แย่งการครอบครอง ผู้ที่เข้ายึดถือเพื่อตนโดยแย่งการครอบครองย่อมได้สิทธิ์ครอบครอง แต่กฎหมายกำหนดทางแก้ไว้ให้ผู้ครอบครองที่ถูกแย่งฟ้องคดีเรียกเอาคืนภายใน 1 ปี เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดก็เรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่ได้ ข้อที่อ้างว่ายังคงติดตามทางเจ้าพนักงาน มิใช่ทางแก้ที่กฎหมายกำหนดให้กระทำ
ที่ดินซึ่งมีแต่สิทธิ์ครอบครอง ผู้ที่จะได้สิทธิ์ในที่ดินประเภทนี้ต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้น หรือมีผู้ยึดถือแทน หากโจทก์ขาดการยึดถือโดยมีผู้แย่งการครอบครอง ผู้ที่เข้ายึดถือเพื่อตนโดยแย่งการครอบครองย่อมได้สิทธิ์ครอบครอง แต่กฎหมายกำหนดทางแก้ไว้ให้ผู้ครอบครองที่ถูกแย่งฟ้องคดีเรียกเอาคืนภายใน 1 ปี เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดก็เรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่ได้ ข้อที่อ้างว่ายังคงติดตามทางเจ้าพนักงาน มิใช่ทางแก้ที่กฎหมายกำหนดให้กระทำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดิน: การยึดถือครอบครองต่อเนื่องและการขาดการยึดถือ
โจทก์มอบที่นาพิพาทให้สามีจำเลยทำกินตั้งแต่ปี 2488ต่อมาปี 2492 สามีจำเลยขอรังวัดออกโฉนด โจทก์ร้องคัดค้าน ดังนี้ ถือว่าสามีจำเลยแสดงออกแล้วว่าจะเอาที่นานั้นเสียเอง มิได้ยึดถือแทนโจทก์ต่อไป โจทก์หาได้ฟ้องคดีเรียกเอาคืนซึ่งการ ครอบครองจากสามีจำเลยไม่ จำเลยได้ขอรังวัดออกโฉนดที่ 2497 แย่งการออกโฉนดกับโจทก์จนโจทก์ร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ปล่อยให้จำเลยยึดถือที่ดินเพื่อตนเอง เป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว โจทก์จะเรียกร้องเอาคืนซึ่งการครอบครองหาได้ไม่
ที่ดินซึ่งมีแต่สิทธิครอบครอง ผู้ที่จะได้สิทธิในที่ดินประเภทนี้ต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้น หรือมีผู้ยึดถือแทน หากโจทก์ขาดการยึดถือโดยมีผู้แย่งการครอบครอง ผู้ที่เข้ายึดถือเพื่อตนโดยแย่งการครอบครองย่อมได้สิทธิครอบครอง แต่กฎหมายกำหนดทางแก้ไว้ให้ผู้ครอบครองที่ถูกแย่งฟ้องคดีเรียกเอาคืนภายใน 1 ปี เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดก็เรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่ได้ ข้อที่อ้างว่ายังคงติดตามทางเจ้าพนักงาน มิใช่ทางแก้ที่กฎหมายกำหนดให้กระทำ
ที่ดินซึ่งมีแต่สิทธิครอบครอง ผู้ที่จะได้สิทธิในที่ดินประเภทนี้ต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้น หรือมีผู้ยึดถือแทน หากโจทก์ขาดการยึดถือโดยมีผู้แย่งการครอบครอง ผู้ที่เข้ายึดถือเพื่อตนโดยแย่งการครอบครองย่อมได้สิทธิครอบครอง แต่กฎหมายกำหนดทางแก้ไว้ให้ผู้ครอบครองที่ถูกแย่งฟ้องคดีเรียกเอาคืนภายใน 1 ปี เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดก็เรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่ได้ ข้อที่อ้างว่ายังคงติดตามทางเจ้าพนักงาน มิใช่ทางแก้ที่กฎหมายกำหนดให้กระทำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองทางภารจำยอม: ศาลวินิจฉัยนอกฟ้องแต่ฟังเป็นทางภารจำยอมได้จากข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม แต่ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในทางพิพาทโดยไม่วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากฟ้อง
ทางเดินซึ่งตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์กว้าง 6.40 เมตร และโจทก์ใช้เดินเข้าออกเป็นประจำกว้างประมาณ 1.50 เมตร แต่ถ้าเป็นหน้าน้ำทางเฉอะแฉะก็เดินนอกทางที่เดินเป็นประจำนั้นบ้าง เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทตลอดมาโดยไม่ได้ละทิ้ง ทางพิพาททั้งหมดยังคงเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์
ทางเดินซึ่งตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์กว้าง 6.40 เมตร และโจทก์ใช้เดินเข้าออกเป็นประจำกว้างประมาณ 1.50 เมตร แต่ถ้าเป็นหน้าน้ำทางเฉอะแฉะก็เดินนอกทางที่เดินเป็นประจำนั้นบ้าง เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทตลอดมาโดยไม่ได้ละทิ้ง ทางพิพาททั้งหมดยังคงเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกคำฟ้องและสิทธิครอบครองทางภารจำยอม การใช้ทางโดยอำนาจปรปักษ์
โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม แต่ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในทางพิพาทโดยไม่วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากคำฟ้อง
ทางเดินซึ่งตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์กว้าง 6.40 เมตร และโจทก์ใช้เดินเข้าออกเป็นประจำกว้างประมาณ1.50 เมตร แต่ถ้าเป็นหน้าน้ำทางเฉอะแฉะก็เดินนอกทางที่เดินเป็นประจำนั้นบ้าง เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทตลอดมาโดยไม่ละทิ้ง ทางพิพาททั้งหมดยังคงเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์
ทางเดินซึ่งตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์กว้าง 6.40 เมตร และโจทก์ใช้เดินเข้าออกเป็นประจำกว้างประมาณ1.50 เมตร แต่ถ้าเป็นหน้าน้ำทางเฉอะแฉะก็เดินนอกทางที่เดินเป็นประจำนั้นบ้าง เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทตลอดมาโดยไม่ละทิ้ง ทางพิพาททั้งหมดยังคงเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์