คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ครอบครองปรปักษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,380 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์หลังการซื้อที่จากการบังคับคดี: การครอบครองเดิมต่อเนื่องและการไม่โต้แย้งสิทธิ
โจทก์แพ้คดีถูกยึดที่พิพาทขายทอดตลาด จำเลยเป็นผู้ซื้อได้แล้วมิได้ปล่อยปละละเลยที่พิพาทแต่อย่างใด ได้จัดการให้มีการออก น.ส.3 และจดทะเบียนรับโอนมาจากโจทก์ แม้โจทก์จะยึดถือที่พิพาทตลอดมาเกินกว่า 1 ปี แต่เป็นการยึดถือเพราะเป็นเจ้าของเดิมทำกินในที่พิพาทต่อเนื่องกันมา โดยจำเลยยังไม่ประสงค์จะขับไล่ให้ออกไปในระหว่างที่ยังดำเนินการเพื่อให้มีการจดทะเบียน ดังนี้เมื่อไม่มีพฤติการณ์ใดๆ ขึ้นใหม่อันแสดงให้เห็นว่าเป็นการแย่งการครอบครองแล้ว ย่อมจะนำกำหนดเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาปรับแก่คดีหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1779/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ต้องจดทะเบียน มิอาจอ้างต่อสู้ผู้รับจำนองสุจริต
จำเลยยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ผู้ร้องโดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้จะได้ความตามคำร้องว่าผู้ร้องได้เข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนา เป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว แต่ผู้ร้องหาได้จดทะเบียนการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวไม่ โจทก์รับจำนองและมีการจดทะเบียนจำนองถูกต้องตามกฎหมายย่อมได้รับการสันนิษฐานว่ากระทำการโดยสุจริต ผู้ร้องไม่อาจยกเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ดังกล่าวขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ จึงไม่จำเป็นต้องสืบพยานในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ของผู้ร้องต่อไปอีก
ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องมิได้รับรองหรือมีข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้สิทธิ์มาโดยสุจริตแม้จะมีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายผู้ร้องก็สืบคัดค้านได้นั้น ประเด็นข้อนี้ผู้ร้องหาได้ยกขึ้นกล่าวในชั้นอุทธรณ์ไม่ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1779/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์และการคุ้มครองสิทธิผู้รับจำนองโดยสุจริต
จำเลยยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ผู้ร้องโดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้จะได้ความตามคำร้องว่าผู้ร้องได้เข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว แต่ผู้ร้องหาได้จดทะเบียนการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวไม่โจทก์รับจำนองและมีการจดทะเบียนจำนองถูกต้องตามกฎหมายย่อมได้รับการสันนิษฐานว่ากระทำการโดยสุจริต ผู้ร้องไม่อาจยกเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ดังกล่าวขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ จึงไม่จำเป็นต้องสืบพยานในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ของผู้ร้องต่อไปอีก
ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องมิได้รับรองหรือมีข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้สิทธิมาโดยสุจริตแม้จะมีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายผู้ร้องก็สืบคัดค้านได้นั้น ประเด็นข้อนี้ผู้ร้องหาได้ยกขึ้นกล่าวในชั้นอุทธรณ์ไม่ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1687/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินวัดและสำนักงานทรัพย์สินฯ: ครอบครองปรปักษ์ไม่ได้
ที่วัดที่ธรณีสงฆ์และที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ผู้ใดจะครอบครองปรปักษ์มิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1686/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการฟ้องขับไล่: สิทธิครอบครองเดิมยังคงอยู่หากจำเลยเพิ่งเปลี่ยนลักษณะการครอบครอง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้ที่พิพาทโดยการครอบครองทำประโยชน์มาประมาณ 30 ปี แผนที่ท้ายฟ้องโจทก์ได้ระบุอาณาเขตของที่ดินโจทก์ว่าอยู่ติดกับที่ดินของใครไว้โดยรอบของที่ดินแล้ว จำเลยก็ให้การว่าซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ มิได้หลงต่อสู้หรือไม่เข้าใจฟ้องอย่างใด ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม
ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์จำเลยเพิ่งคัดค้านมิให้บุตรโจทก์ปลูกเรือนในที่พิพาท อันเป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองเอาที่พิพาทเป็นของตนยังไม่ถึง 1 ปี โจทก์ฟ้องเพื่อเอาคืนการครอบครองได้ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1686/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการฟ้องขับไล่: การเปลี่ยนแปลงลักษณะการครอบครองและการมีสิทธิฟ้องร้องภายใน 1 ปี
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้ที่พิพาทโดยการครอบครองทำประโยชน์มาประมาณ 30 ปี แผนที่ท้ายฟ้องโจทก์ได้ระบุอาณาเขตของที่ดินโจทก์ว่าอยู่ติดกับที่ดินของใครไว้โดยรอบของที่ดินแล้ว จำเลยก็ให้การว่าซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ มิได้หลงต่อสู้หรือไม่เข้าใจฟ้องอย่างใด ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม
ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ จำเลยเพิ่งคัดค้านมิให้บุตรโจทก์ปลูกเรือนในที่พิพาท อันเป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองเอาที่พิพาทเป็นของตนยังไม่ถึง 1 ปี โจทก์ฟ้องเพื่อเอาคืนการครอบครองได้ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1440/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาเดิมกับคู่ความที่ไม่ใช่โจทก์โดยตรง และการครอบครองปรปักษ์
โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ จำเลยกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่เมื่อศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่บุคคลภายนอกอันจะกล่าวอ้างพิสูจน์สิทธิใหม่ และพิพากษายกฟ้อง ดังนี้ เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมาย อันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 การอุทธรณ์คำสั่งนี้และฎีกาต่อมา จึงเป็นการอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ตามบัญญัติไว้ในตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ต้องเสียค่าขึ้นศาล 50 บาท
สามีเคยให้ความยินยอมแก่ภริยาต่อสู้คดีกับจำเลย และให้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่พิพาทมาแล้ว คดีถึงที่สุด โดยศาลพิพากษาว่าภริยามีสิทธิรับมรดกที่ดินเท่าที่ระบุไว้ในพินัยกรรม ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าที่พิพาทอยู่นอกพินัยกรรม สามีจะรื้อฟื้นมาฟ้องจำเลยอีกว่าที่พิพาทเป็นของสามี ได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ มิใช่ที่ดินของเจ้ามรดกผู้ทำพินัยกรรมหาได้ไม่ เพราะสามีต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกับภริยา คำพิพากษาคดีดังกล่าวย่อมผูกพันสามีด้วย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 699/2498)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1440/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินมรดก: ผลผูกพันจากคำพิพากษาเดิม, การครอบครองปรปักษ์, และความยินยอมในการดำเนินคดี
โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์จำเลยกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่เมื่อศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่บุคคลภายนอกอันจะกล่าวอ้างพิสูจน์สิทธิใหม่ และพิพากษายกฟ้อง ดังนี้ เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 การอุทธรณ์คำสั่งนี้และฎีกาต่อมา จึงเป็นการอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ตามที่บัญญัติไว้ในตาราง 1 ข้อ 2ข.ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ต้องเสียค่าขึ้นศาล 50 บาท
สามีเคยให้ความยินยอมแก่ภริยาต่อสู้คดีกับจำเลย และให้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับที่พิพาทมาแล้ว คดีถึงที่สุด โดยศาลพิพากษาว่าภริยามีสิทธิรับมรดกที่ดินเท่าที่ระบุไว้ในพินัยกรรม ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าที่พิพาทอยู่นอกพินัยกรรม สามีจะรื้อฟื้นมาฟ้องจำเลยอีกว่าที่พิพาทเป็นของสามี ได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ มิใช่ที่ดินของเจ้ามรดกผู้ทำพินัยกรรมหาได้ไม่ เพราะสามีต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกับภริยาคำพิพากษาคดีดังกล่าวย่อมผูกพันสามีด้วย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 699/2498)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1413/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ แม้ทายาทผู้ให้ยินยอมยังไม่เป็นเจ้าของ
โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยครอบครองมา 40 ปี ตามที่ทายาทของเจ้ามรดกยินยอมยกให้ แต่จำเลยเป็นทายาทของเจ้ามรดกยังไม่มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด จึงบังคับให้จำเลยจัดการโอนที่พิพาทแก่โจทก์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 570/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีครอบครองปรปักษ์: การปล่อยปละละเลยทำให้ขาดสิทธิฟ้องเรียกคืน
เดิมที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมี น.ส.3 ของโจทก์ ต่อมา พ.ศ. 2511 ย. ได้นำรังวัดเพื่อออกโฉนดผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน ย. โฉนดออกให้เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2513 และต่อมาวันที่ 20 กรกฎาคม 2514 ย. ได้ขายที่ดินตามโฉนดดังกล่าวให้แก่จำเลย ดังนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ให้สันนิษฐานว่า ผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ย. และจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องกัน จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานดังกล่าว ส่วนที่ดินโจทก์เป็นที่ น.ส.3 ผู้ยึดถือมีเพียงสิทธิครอบครองตลอดเวลาที่ยังคงยึดถืออยู่ เมื่อถูกรบกวนหรือถูกแย่งการครอบครองจะต้องฟ้องขอให้ปลดเปลื้องหรือเรียกคืนการครอบครองเสียภายใน 1 ปี ตามมาตรา 1374, 1375 เมื่อปรากฏว่าโจทก์เองไม่เคยเข้าไปครอบครองที่พิพาทจริงจัง เพิ่งรู้ว่ามีการบุกรุกออกโฉนดทับที่เมื่อโจทก์ไปขอรังวัดออกโฉนดที่ดินของตนเมื่อต้นปี พ.ศ. 2513 และโจทก์จะขอเจรจากับ ย. เจ้าของที่ดินในขณะนั้นก็ถูกปฏิเสธ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่พิพาท แสดงว่าโจทก์รู้ว่าถูกแย่งการครอบครองตั้งแต่ขณะนั้น โจทก์มิได้ดำเนินการอย่างไร คงปล่อยปละละเลยเพิ่งมาฟ้องคดีขอให้เพิกถอนโฉนดและขับไล่จำเลยเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2517 เกิน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งสิทธิครอบครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาทจากจำเลย
of 138