พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 640/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีโดยไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา หากศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยประเด็นสำคัญที่จำเลยอุทธรณ์
การที่ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงเป็นอันยุติว่าเสาไฟฟ้าเป็นของโจทก์นั้น เป็นการฟังข้อเท็จจริงมาจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยมิได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัยให้ตามอุทธรณ์ของจำเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นประเด็นที่จำเลยให้การและอุทธรณ์ต่อสู้ไว้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเสาไฟฟ้าไม่ใช่ของโจทก์ เป็นการพิพากษาคดีโดยไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความตาม มาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และประเด็นดังกล่าวแม้ศาลอุทธรณ์จะไม่วินิจฉัยให้ ศาลฎีกาก็วินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่แล้วในสำนวนโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอีกได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6376/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท: การโต้แย้งเจตนาจำเลยมีผลต่อการพิจารณาความผิดกรรมเดียวหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดสองกรรม ลงโทษจำคุกฐานบุกรุก 8 เดือน ฐานทำร้ายร่างกาย 3 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษฐานบุกรุกที่เป็นบทหนักที่สุด จำคุก 8 เดือน คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานโดยมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหาย โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมิได้เจตนาเข้าไปเพื่อทำร้ายผู้เสียหายแต่มีเจตนาเข้าไปเพื่อต่อว่าผู้เสียหาย เจตนาทำร้ายเกิดขึ้นภายหลัง จึงเป็นการกระทำความผิดต่างกรรมกัน ฎีกาโจทก์เช่นนี้เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายโดยมีเจตนาอะไรเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6340/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบเนื่องจากจำเลยเปลี่ยนคำให้การในชั้นฎีกา โต้แย้งข้อเท็จจริงใหม่ที่ไม่เคยยกขึ้นในศาลอุทธรณ์
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยอ้างว่าที่ศาลชั้นต้นงดชี้สองสถานและงดสืบพยานเป็นการไม่ชอบ เพราะจำเลยให้การมีประเด็นว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินที่โจทก์จำเลยทำต่อ เจ้าพนักงานที่ดินมีเจตนาหลอกลวงเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้เสียค่าธรรมเนียมและภาษีน้อยลงขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน มูลหนี้ตามเช็คจึงเป็นโมฆะแต่ในชั้นฎีกาจำเลยกลับอ้างว่าคำให้การจำเลยมีประเด็นว่าจำเลยชำระราคาที่ดินให้โจทก์ครบถ้วน โดยที่ดินราคาเพียง 350,000 บาทเช็คพิพาทสั่งจ่ายเงิน 650,000 บาท จำนวนที่เกินไป 300,000 บาทเป็นการนำเอาค่านายหน้าและดอกเบี้ยในอัตราที่เกินกฎหมายกำหนดมารวมเข้าด้วย คำให้การจำเลยจึงชัดเจนแล้ว เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6126/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุลอกคำวินิจฉัยศาลชั้นต้นโดยไม่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกาโดยเพียงแต่ลอกคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นมาทั้งหมดชนิดคำต่อคำ ไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6126/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากลอกคำวินิจฉัยศาลชั้นต้น และไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกาโดยลอกคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นมาทั้งหมดชนิดคำต่อคำ แต่คำวินิจฉัยศาลชั้นต้นถูกศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเสียแล้วโดยจำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไรและที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ทั้งยังเป็นฎีกาที่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นฎีกาที่นอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5786/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา: ต้องยื่นต่อศาลฎีกาโดยตรง การวินิจฉัยเรื่องระยะเวลาอุทธรณ์เป็นอำนาจศาลอุทธรณ์
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 252 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ต้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกา ในกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาแล้วแทนที่จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลฎีกา จำเลยกลับยื่นอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวโดยอ้างว่าจำเลยอุทธรณ์คำสั่งเกิน 10 วัน จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์ ดังนี้หาใช่การอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกาตามมาตรา 252 ไม่ แต่เป็นการสั่งโดยอาศัยมาตรา 232 และ 234 ซึ่งเป็นการอุทธรณ์เกี่ยวกับระยะเวลาอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงต้องรับวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5786/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ต้องยื่นต่อศาลฎีกาโดยตรง ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิจารณา
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 252 กรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่ยอมรับฎีกาเพราะเหตุใดก็ตาม หากคำสั่งนั้นไม่เป็นที่พอใจของผู้ฎีกาและประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ก็ต้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกาโดยตรง เพื่อศาลฎีกาจะได้พิจารณาว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกานั้นชอบหรือไม่ เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาแล้ว แทนที่จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลฎีกากลับยื่นอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ การปฏิบัติของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความ แต่การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวโดยอ้างว่าจำเลยอุทธรณ์คำสั่งเกิน 10 วันแล้วนั้น กรณีหาใช่การอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ยอมรับฎีกาตามมาตรา 252ดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ หากแต่เป็นการสั่งโดยอาศัย ป.วิ.พ.มาตรา 232 และ 234 ซึ่งเป็นการอุทธรณ์เกี่ยวกับระยะเวลาอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ต้องรับวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5465/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการลงโทษในชั้นฎีกา: ศาลฎีกาไม่สามารถเพิ่มโทษจำเลยเกินกว่าที่ศาลอุทธรณ์ตัดสิน หากโจทก์มิได้ฎีกาในประเด็นนั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยต่ำกว่าระวางโทษขั้นต่ำ ที่กฎหมายกำหนด เมื่อโจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจะลงโทษจำเลยทั้งสองหนักกว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ได้เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5302/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้เถียงดุลพินิจศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยทั้งสามจะฎีกาอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานผิดไปจากสำนวน และมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยคนใดกระทำความผิด เพราะจำเลยทั้งสามนำสืบปฏิเสธว่าไม่ทราบว่ามีไม้ของกลางบรรทุกบนรถยนต์คันเกิดเหตุนั้น แต่ฎีกาจำเลยทั้งสามล้วนเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยทั้งสามไม่เกินคนละห้าปี ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5247/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับคำสั่งทำลายสิ่งของ (ลานปูนซีเมนต์) เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน ปรับ5,000 บาท ริบของกลางและให้ทำลายลานปูนซีเมนต์ของกลางโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาแก้เฉพาะในยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้ทำลายลานปูนซีเมนต์ของกลาง เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก โจทก์ฎีกาขอให้ทำลายปูนซีเมนต์ของกลางเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาล อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย