พบผลลัพธ์ทั้งหมด 971 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1320/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงโดยอ้างเจ้าพนักงาน - ผู้ใหญ่บ้านเรียกเงินโดยไม่มีอำนาจ
ฟ้องฐานฉ้อโกงที่ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ใหญ่บ้านเรียกร้องเอาเงินจากลูกบ้าน 80 บาท โดยอ้างว่าเสมียนอำเภอใช้ให้ตนมาเอา เรื่องที่ลูกบ้านขอจับจองที่ดินและจับจองทับทางเดิน ถ้าไม่ให้เงินการจับจองจะไม่สำเร็จ ลูกบ้านหลงเชื่อว่าเสมียนอำเภอใช้ผู้ใหญ่บ้านมาเอาเงินจริง จึงมอบเงิน 80 บาทแก่ผู้ใหญ่บ้านไปซึ่งความจริงเสมียนอำเภอไม่ได้ใช้ผู้ใหญ่บ้านมาเรียกเอาเงินจากลูกบ้านเลย ดังนี้ ผู้ใหญ่บ้านต้องมีความผิดฐานฉ้อโกง
ผู้ใหญ่บ้านเรียกร้องเอาเงินจากลูกบ้าน 80 บาท โดยอ้างว่าเสมียนอำเภอใช้ให้ตนมาเอา เรื่องที่ลูกบ้านขอจับจองที่ดินและจับจองทับทางเดิน ถ้าไม่ให้เงินการจับจองจะไม่สำเร็จ ลูกบ้านหลงเชื่อว่าเสมียนอำเภอใช้ผู้ใหญ่บ้านมาเอาเงินจริง จึงมอบเงิน 80 บาทแก่ผู้ใหญ่บ้านไปซึ่งความจริงเสมียนอำเภอไม่ได้ใช้ผู้ใหญ่บ้านมาเรียกเอาเงินจากลูกบ้านเลย ดังนี้ ผู้ใหญ่บ้านต้องมีความผิดฐานฉ้อโกง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 800/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจลงโทษจำคุกตาม พ.ร.บ.การพนัน ศาลมีอำนาจลงโทษจำคุกสถานเดียวได้
พระราชบัญญัติการพนันไม่มีบทมาตราใดที่บัญญัติ ไม่ให้ศาลใช้ดุลพินิจที่จะวางโทษจำคุกสถานเดียวศาลก็ย่อมอาศัยกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 23 ประกอบด้วยมาตรา 11 ใช้ในการดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยแต่สถานเดียวได้ (อ้างฎีกา831/2479)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 753/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องนายกเทศมนตรีในคดีภาษีโรงเรือน: การฟ้องจำเลยในฐานะบุคคลธรรมดา
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าภาษีโรงเรือนที่เจ้าหน้าที่ประเมินเกินไป โดยกล่าวในฟ้องว่าโจทก์ฟ้องนายทับ ณ พัทลุง ในนามนายกเทศมนตรีเมืองพัทลุงเป็นจำเลย ย่อมเป็นการฟ้องบุคคลธรรมดาในตำแหน่งหน้าที่ของเขา
ตาม พ.ร.บ.ปันรายได้บำรุงเทศบาล 2479 ม.4 ซึ่งบัญญัติว่า ภาษีโรงเรือน ซึ่งจะพึงเรียกเก็บได้ในเขตต์เทศบาลให้โอนให้เทศบาลเรียกเก็บเป็นรายได้ของเทศบาล และให้เทศบาลมีอำนาจและหน้าที่แต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อการนี้ประกอบกับ พ.ร.บ.เทศบาล 2481 มาตรา 36 บัญญัติว่า ในการบริหารการเทศบาลทั้งหลาย ให้นายกเทศมนตรีเป็นหัวหน้าดำเนินกิจการทั้งปวงของเทศบาล ดังนี้ นายกเทศมนตรีซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาโดยตำแหน่งหน้าที่นายกเทศมนตรีจึงอาจฟ้อง หรือถูกฟ้องเป็นคดีความในโรงศาลได้ ไม่จำเป็นต้องเอานิติบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความเสมอไป.
ตาม พ.ร.บ.ปันรายได้บำรุงเทศบาล 2479 ม.4 ซึ่งบัญญัติว่า ภาษีโรงเรือน ซึ่งจะพึงเรียกเก็บได้ในเขตต์เทศบาลให้โอนให้เทศบาลเรียกเก็บเป็นรายได้ของเทศบาล และให้เทศบาลมีอำนาจและหน้าที่แต่งตั้งเจ้าหน้าที่เพื่อการนี้ประกอบกับ พ.ร.บ.เทศบาล 2481 มาตรา 36 บัญญัติว่า ในการบริหารการเทศบาลทั้งหลาย ให้นายกเทศมนตรีเป็นหัวหน้าดำเนินกิจการทั้งปวงของเทศบาล ดังนี้ นายกเทศมนตรีซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาโดยตำแหน่งหน้าที่นายกเทศมนตรีจึงอาจฟ้อง หรือถูกฟ้องเป็นคดีความในโรงศาลได้ ไม่จำเป็นต้องเอานิติบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความเสมอไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 712/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานใช้อำนาจในทางทุจริตเรียกทรัพย์จากประชาชน แม้ไม่ใช่การปล้นทรัพย์ ก็มีความผิดตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 - 2 เป็นพลตำรวจ ได้สมคบกันไปจับผู้เสียหายมา 2 คน บอกว่าสงสัยว่าลักควายของจำเลยที่ 3 และใส่กุญแจมือพามาบ้านจำเลยที่ 4 ในระหว่างเดินทาง จำเลยที่ 1 ได้เอาปืนยาวตีศีรษะผู้เสียหายให้เอาเงินมาคนละ 300 บาท ถ้าไม่ให้จะฆ่าทิ้งเสียในคืนนี้ ผู้เสียหายยอมรับจะให้คนละ 250 บาท แต่เวลานั้นยังไม่มีเงิน จำเลยจึงบอกให้ผู้เสียหายขายควายและให้เอา เรือนที่บ้านและไร่ยาสูบขายฝากผู้อื่นไว้แล้วจำเลยที่ 1 ก็รับเอาเงินที่ขายควายและขายฝากเรือน ที่บ้านและไร่ยาสูบไปดังนี้ การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามมาตรา 270 และมาตรา 136 ฐานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจจริต หาใช่เป็นการปล้นทรัพย์ เพราะมิใช่การขู่เข็ญชิงเอาทรัพย์ไปจากความครอบครองของเจ้าทรัพย์ หากแต่เป็นการที่จำเลยบังคับให้เขาให้หรือให้เขาหาทรัพย์ หรือผลประโยชน์อันมิควรจะได้ตามกฎหมายมาให้แก่ตัวมันโดยมันเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่บังคับโดยทางอันมิชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 268, 270, 301 แต่ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสมว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 270, 136 แต่โจทก์อ้างบทหรือมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 192 วรรค 4.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 268, 270, 301 แต่ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสมว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 270, 136 แต่โจทก์อ้างบทหรือมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 192 วรรค 4.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 712/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานใช้อำนาจในทางทุจริต บังคับให้ได้ทรัพย์สินโดยมิชอบ ไม่ใช่ปล้นทรัพย์
จำเลยที่ 1-2 เป็นพลตำรวจ ได้สมคบกันไปจับผู้เสียหายมา 2 คน บอกว่าสงสัยว่าลักควายของจำเลยที่ 3 และใส่กุญแจมือพามาบ้านจำเลยที่ 4 ในระหว่างเดินทาง จำเลยที่ 1 ได้เอาปืนยาวตีศีรษะผู้เสียหายให้เอาเงินมาคนละ 300 บาท ถ้าไม่ให้จะฆ่าทิ้งเสียในคืนนี้ ผู้เสียหายยอมรับจะให้คนละ 250 บาท แต่เวลานั้นยังไม่มีเงิน จำเลยจึงบอกให้ผู้เสียหายขายควายและให้เอาเรือน ที่บ้านและไร่ยาสูบขายฝากผู้อื่นไว้แล้วจำเลยที่ 1 ก็รับเอาเงินที่ขายควายและขายฝากเรือน ที่บ้านและไร่ยาสูบไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามมาตรา 270 และมาตรา 136 ฐานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริต หาใช่เป็นการปล้นทรัพย์ เพราะมิใช่การขู่เข็ญชิงเอาทรัพย์ไปจากความครอบครองของเจ้าทรัพย์ หากแต่เป็นการที่จำเลยบังคับให้เขาให้หรือให้เขาหาทรัพย์ หรือผลประโยชน์อันมิควรจะได้ตามกฎหมายมาให้แก่ตัวมันโดยมันเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่บังคับโดยทางอันมิชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 268,270,301 แต่ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสมว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 270,136 แต่โจทก์อ้างบทหรือมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 268,270,301 แต่ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสมว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 270,136 แต่โจทก์อ้างบทหรือมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 69/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ถูกหลอกลวงมีอำนาจร้องทุกข์ แม้เงินที่จ่ายไปมิใช่ของตนเอง
ในคดีฉ้อโกงเงินนั้น เมื่อผู้ถูกหลอกลวงเชื่ออุบายจำเลยได้จ่ายเงินให้แก่ฝ่ายจำเลย จะเป็นเงินของผู้ถูกหลอกลวงเองหรือหยิบยืมมาจากใคร จะทำเป็นหนังสืออย่างใด หรือไม่ก็ตาม ก็เรียกได้ว่าผู้ถูกหลอกลวงเป็นผู้เสียหายโดยตรงมีอำนาจที่จะร้องทุกข์ได้ตามกฎหมาย./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 69/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ถูกหลอกลวงมีอำนาจร้องทุกข์ฉ้อโกง แม้เงินที่จ่ายไม่ใช่ของตนเอง
ในคดีฉ้อโกงเงินนั้น เมื่อผู้ถูกหลอกลวงเชื่ออุบายจำเลยได้จ่ายเงินให้แก่ฝ่ายจำเลย จะเป็นเงินของผู้ถูกหลอกลวงเองหรือหยิบยืมมาจากใครจะทำเป็นหนังสืออย่างใดหรือไม่ก็ตาม ก็เรียกได้ว่าผู้ถูกหลอกลวงเป็นผู้เสียหายโดยตรง มีอำนาจที่จะร้องทุกข์ได้ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 640/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจตำรวจนอกเหนือหน้าที่และการตรวจค้น พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องส่งของกลาง
ตำรวจที่ลาราชการไปธุระต่างท้องที่นั้น คงเป็นตำรวจอยู่นั่นเองเมื่อไปทำการตรวจค้นบุคคลใดในที่สาธารณะสถานย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 93
จำเลยเป็นตำรวจ ได้ลาราชการมา และได้ทำการตรวจค้นผู้พกสนับมือแล้วไม่นำสนับมือกับผู้นั้นส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมมีความผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131,142
(อ้างฎีกา 140/2490)
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือนตามมาตรา127,128,293 ศาลอุทธรณ์แก้ว่าจำเลยมีผิดตามมาตรา 293 กระทงเดียวกำหนดโทษยืนตามนั้น จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
จำเลยเป็นตำรวจ ได้ลาราชการมา และได้ทำการตรวจค้นผู้พกสนับมือแล้วไม่นำสนับมือกับผู้นั้นส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมมีความผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131,142
(อ้างฎีกา 140/2490)
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือนตามมาตรา127,128,293 ศาลอุทธรณ์แก้ว่าจำเลยมีผิดตามมาตรา 293 กระทงเดียวกำหนดโทษยืนตามนั้น จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 530/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจนายอำเภอแก้ร่างรายงานการประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้าน ไม่ถือเป็นความผิดฐานปลอมหนังสือ
นายอำเภอมีอำนาจตรวจแก้ร่างรายงานการประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้านที่เสมียนจดรายงานการประชุมนั้นได้ ไม่มีความผิดฐานปลอมหนังสือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจรับรองฎีกาของผู้พิพากษาที่ไม่นั่งพิจารณาคดี
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ซึ่งไม่ใช่ผู้ที่นั่งพิจารณาคดี และไม่ได้ลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งไว้ ย่อมไม่มีอำนาจรับรองฎีกาตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 248.