พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,865 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้สั่งจ่ายเช็คแม้ไม่มีตราบริษัท การพิพากษาไม่เกินคำฟ้อง
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทของจำเลยที่ 2 เองมอบให้ ม. นำไปเป็นประกันการชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ส่วนตราที่ประทับไว้ในช่องผู้สั่งจ่ายในเช็คมิใช่ตราของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ย่อมจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามจำนวนเงินในเช็คพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็คโดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทและประทับตราของห้างจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะผู้สั่งจ่ายด้วย มิใช่ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1 แต่สถานเดียว เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าตราที่ประทับในช่องผู้สั่งจ่ายเป็นตราของจำเลยที่ 1ก็บังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์ในฐานะผู้สั่งจ่ายได้ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2888/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผูกพันตามเช็ค: แม้ข้อเท็จจริงต่างจากฟ้องก็ไม่ทำให้คดีเสีย หากจำเลยลงลายมือชื่อสลักหลัง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลัง เป็นอาวัล แม้โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 2 นำเช็คของจำเลยที่ 1 มาชำระหนี้ของจำเลยที่ 2เองต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังไว้เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังเช็คและจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คแล้วเป็นอันถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มีความผูกพันต่อโจทก์ตามเช็คพิพาทแม้การที่โจทก์ได้เช็คไว้ ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจะแตกต่างไปจากคำฟ้องบ้าง ก็ไม่ถึงกับทำให้คดีโจทก์เสียไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2825/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานออกเช็คโดยบัญชีไม่มีเงิน ต้องพิสูจน์ ณ วันออกเช็ค หรือวันเช็คถึงกำหนด
ปัญหามีว่าวันออกเช็คหรือวันที่เช็คพิพาทถึงกำหนด ผู้ออกเช็คมีเงินในบัญชีที่ธนาคารพอจ่ายตามเช็คหรือไม่ เป็นข้อสำคัญแห่งคดีเพราะเป็นเหตุที่ทำให้การกระทำเป็นความผิดโจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบว่าวันดังกล่าวจำเลยมีเงินในบัญชีที่ธนาคารไม่พอจ่ายตามเช็คพิพาทคดีจึงจะลงโทษจำเลยได้การที่โจทก์กับจำเลยตกลงเลื่อนกำหนดวันนำเช็คไปยื่นขอรับเงินจากธนาคารเป็นวันอื่น ซึ่งไม่ใช่วันออกเช็คโดยมิได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขวันออกเช็คใหม่ ไม่ทำให้หน้าที่นำสืบของโจทก์เปลี่ยนแปลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2703/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดของธนาคารต่อการกระทำของตัวแทนเชิดในการรับฝากเงิน และผลของการนำเช็คที่ไม่มีผู้สั่งจ่ายที่แท้จริงไปขึ้นเงิน
โจทก์เป็นลูกค้าของธนาคาร จำเลยที่ 3 สาขาลาดพร้าวได้ติดต่อรับซื้อลดเช็คจาก พ. พนักงานฝ่ายสินเชื่อของจำเลยที่ 3 ซึ่งเช็คดังกล่าว พ. อ้างว่าเป็นของลูกค้าจำเลยที่ 3 โดยโจทก์กับ พ. แบ่งผลประโยชน์ในส่วนลดกัน เมื่อเช็คถึงกำหนด พ. จะนำไปเก็บเงินจากลูกค้าแล้วนำเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ ดังนี้ เท่ากับ พ. เป็นผู้ไปรับฝากเงินจากโจทก์โดยที่โจทก์ไม่ต้องนำเงินเข้าบัญชีด้วยตนเองจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีและผู้จัดการของจำเลยที่ 3 สาขาลาดพร้าว ก็ทราบเรื่องที่ พ. นำเงินเข้าบัญชีโจทก์ดังกล่าว ถือว่าจำเลยทั้งสามเชิดให้ พ. เป็นตัวแทนออกไปรับฝากเงินจากลูกค้านอกสถานที่ตาม ป.พ.พ.มาตรา 821 หาก พ. ได้รับเงินจากลูกค้าผู้สั่งจ่ายเช็คเพื่อนำมาเข้าบัญชีโจทก์แล้ว ถึงแม้ พ. จะทุจริตมิได้นำเข้าบัญชี จำเลยที่ 3 ก็จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา820,821.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็ค 3 ฉบับ มีความผิด 3 กระทง และการคำนวณโทษที่ถูกต้องตามกฎหมาย
จำเลยออกเช็ค 3 ฉบับ แม้ธนาคาร ตามเช็คจะปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 ในวันเดียวกัน ก็ต้องถือว่าจำเลยกระทำความผิดในการออกเช็คฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 ต่างกรรมต่างวาระกัน เพราะจำเลยมีเจตนาให้ใช้เงินตามเช็คแต่ละฉบับหรือไม่แตกต่างแยกจากกันได้ การกระทำของจำเลยในการออกเช็ค 3ฉบับจึงเป็นความผิด 3 กระทง
ศาลลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 8 เดือน รวม 3 กระทงต้องกำหนดโทษรวมเป็นจำคุก 24 เดือน ไม่ใช่ 2 ปีและเมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วก็ต้องกำหนดโทษจำคุกเป็น 12 เดือน เพราะการวางโทษเป็นปีทำให้จำเลยเสียเปรียบ เนื่องจากตาม ป.อ. มาตรา 21 วรรคสอง ถ้าระยะเวลาที่คำนวณนั้นกำหนดเป็นเดือน ให้นับสามสิบวันเป็นหนึ่งเดือน ถ้ากำหนดเป็นปี ให้คำนวณตามปีปฎิทิน ในราชการดังนั้นการนับวันใน 1 ปีจึงเท่ากับ 365 วัน แต่การนับวันใน 1 เดือน เท่ากับ 30 วัน กำหนดโทษ 12 เดือนคิดเป็นวันจึงเท่ากับ 360 วัน.
ศาลลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 8 เดือน รวม 3 กระทงต้องกำหนดโทษรวมเป็นจำคุก 24 เดือน ไม่ใช่ 2 ปีและเมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วก็ต้องกำหนดโทษจำคุกเป็น 12 เดือน เพราะการวางโทษเป็นปีทำให้จำเลยเสียเปรียบ เนื่องจากตาม ป.อ. มาตรา 21 วรรคสอง ถ้าระยะเวลาที่คำนวณนั้นกำหนดเป็นเดือน ให้นับสามสิบวันเป็นหนึ่งเดือน ถ้ากำหนดเป็นปี ให้คำนวณตามปีปฎิทิน ในราชการดังนั้นการนับวันใน 1 ปีจึงเท่ากับ 365 วัน แต่การนับวันใน 1 เดือน เท่ากับ 30 วัน กำหนดโทษ 12 เดือนคิดเป็นวันจึงเท่ากับ 360 วัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็ค 3 ฉบับ ถือเป็นความผิด 3 กระทง แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินไม่พร้อมกัน การคำนวณโทษจำคุกต้องใช้หลักเกณฑ์ประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยสั่งจ่ายเช็ค 3 ฉบับ ลงวันที่สั่งจ่ายต่างกัน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 ในวันที่ 30มิถุนายน 2529 ครั้งหนึ่งและปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คฉบับที่ 3ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2529 อีกครั้งหนึ่ง แม้ธนาคารตามเช็คจะปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 ในวันเดียวกันก็ต้องถือว่าจำเลยกระทำความผิดในการออกเช็คฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2ต่างกรรม ต่างวาระกัน การกระทำของจำเลยในการออกเช็ค 3 ฉบับจึงเป็นความผิด 3 กระทง ศาลลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 8 เดือน รวม 3 กระทง ต้องกำหนดโทษเป็นจำคุก 24 เดือน ไม่ใช่ 2 ปี เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 เดือน ไม่ใช่ 1 ปีเพราะการวางโทษจำคุกเป็นปี ทำให้จำเลยเสียเปรียบต้องรับโทษมากกว่าการวางโทษจำคุกเป็นเดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2516/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาท: การลดจำนวนหนี้ตามเช็คจากยอดเดิมเนื่องจากมีการชำระหนี้บางส่วน และเช็คอีกฉบับเป็นเพียงหลักประกัน
เช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเพื่อชำระต้นเงิน30,000 บาทแก่โจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้สลักหลังซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ตามเนื้อความในเช็คนั้น แต่เมื่อโจทก์แถลงรับในคำแก้ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินให้โจทก์บ้างแล้ว จำเลยที่ 1 ยังค้างชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเป็นเงิน3,500 บาท จำเลยทั้งสี่จึงต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทต่อโจทก์เป็นเงินเพียง 3,500 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2243/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: การระบุวันเวลาเกิดเหตุในคดีเช็ค
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ โดยบรรยายฟ้องว่า "...เมื่อวันที่ 20มีนาคม 2528 เวลากลางวัน ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ทรงเช็ค ได้นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายที่ธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขา 129 ลาดพร้าว เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คนั้นแต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโดยแจ้งว่า โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย.."เช่นนี้ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นวันเดียวกับวันที่โจทก์นำเช็คเข้าบัญชีของโจทก์นั้นเองฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาที่เกิดการกระทำผิด คือ วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เป็นฟ้องที่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2243/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุวันปฏิเสธการจ่ายเช็คในฟ้องอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ โดย บรรยายฟ้องว่า"...เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2528 เวลากลางวัน ผู้เสียหายซึ่ง เป็นผู้ทรงเช็ค ได้ นำเช็ค ดังกล่าวไปเข้าบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายที่ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด สาขา 129 ลาดพร้าว เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค นั้น แต่ ธนาคารได้ ปฏิเสธการจ่ายเงินโดย แจ้งว่า โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย..." เช่นนี้ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นวันเดียวกับวันที่โจทก์นำเช็ค เข้าบัญชีของโจทก์นั้นเอง ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาที่เกิดการกระทำผิด คือ วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เป็นฟ้องที่ชอบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2190/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนเช็คเพื่อประกันการปฏิบัติตามสัญญาหุ้นส่วน และการฉ้อฉลในการฟ้องร้อง
จำเลยที่ 1 มีอาชีพเป็นผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์ จำเลยที่ 2 ว.และส.เข้าหุ้นส่วนกันสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์โดยว.ลงทุนด้วยเงินสด จำเลยที่ 2 และ ส. ลงทุนด้วยแรงงานโดยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึง ได้จากกิจการสร้างภาพยนตร์นั้นส่วนโจทก์เป็นหุ้นส่วนร่วมกับ ว.20 เปอร์เซ็นต์ ของเงินทุนที่ ว. นำมาลง และเป็นทนายความประจำสำนักงานภาพยนตร์ของ ว. จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลัง มอบให้ ว.โดยมีข้อตกลงว่าว. จะบังคับให้ใช้เงินตามเช็คได้ต่อเมื่อภาพยนตร์ที่ร่วมกันสร้างได้ฉาย ทาง โทรทัศน์ จนมีกำไร เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่ออกให้แก่ ว. ผู้ทรงคนก่อนเพื่อเป็นการประกันการปฏิบัติตามสัญญาหุ้นส่วน เมื่อ ว. ยังไม่ปฏิบัติตามสัญญาหุ้นส่วนโดยไม่จัดการชำระบัญชีกันให้ถูกต้อง แล้วกลับโอนเช็คให้โจทก์มาฟ้องจำเลยทั้งสอง โดยโจทก์รู้ถึงข้อตกลงในการเข้าหุ้นส่วนดังกล่าว เป็นการยืมมือโจทก์ฟ้องย่อมถือว่าโจทก์กับ ว. คบคิดกันฉ้อฉลจำเลยทั้งสอง.