คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีซื้อขายที่ดิน: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงยุติแล้ว แม้ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายก็ไม่กระทบผลคดี
คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่าการที่จำเลยไม่ยอมรับแคชเชียร์เช็คแทนการชำระหนี้ด้วยเงินสดจากโจทก์ในวันที่16พฤศจิกายน2531จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่นั้นเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าในวันที่16พฤศจิกายน2531โจทก์พร้อมที่จะชำระราคาที่ดินให้แก่จำเลยและรับโอนกรรมสิทธิ์แต่จำเลยกลับเป็นฝ่ายที่ไม่พร้อมที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์เพราะที่ดินที่ขายติดจำนองและจำเลยมิได้ติดต่อกับผู้รับจำนองเพื่อให้ผู้รับจำนองนำโฉนดที่ดินและเอกสารมาที่สำนักงานที่ดินเพื่อจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและโอนขายให้แก่โจทก์จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาดังนั้นไม่ว่าผลแห่งคำวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฏีกาของจำเลยจะออกมาในรูปใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังเป็นยุติแล้วได้ผลแห่งคดีก็คงเป็นเช่นเดิมปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกาจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5187/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทใหม่ในชั้นฎีกา: การไม่ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์
แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้และโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากจำเลยที่ 3 โดยคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่เนื่องจากจำเลยที่ 1 ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ และจำเลยที่ 2 ได้อุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไว้ในชั้นอุทธรณ์ แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 มิได้ยกประเด็นดังกล่าวขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยนั้นเป็นการไม่ชอบอย่างไร คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงมีผลเท่ากับว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้อุทธรณ์ประเด็นที่ว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลและโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากจำเลยที่ 3 โดยคบคิดกันฉ้อฉลในชั้นอุทธรณ์ต้องถือว่าประเด็นข้างต้นที่จำเลยที่ 2 ยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกานั้นเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณา ตามป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5106/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับการพิจารณาคดีแพ่งและอาญา และการโต้แย้งข้อเท็จจริงในฎีกา
ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกให้นั้นเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219 การที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา42และ46มุ่งหมายที่จะให้ศาลมีพิจารณาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลคดีส่วนอาญาก่อนแล้วจึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคดีส่วนอาญาฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาส่วนอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีส่วนแพ่งจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ไม่ปรากฎว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค2ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5083/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์/ฎีกาในคดีบุกรุกและคดีมีทุนทรัพย์แยกจากกัน
โจทก์ฟ้องว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันบุกรุกทำให้เสียหาย หากนำไปให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าปีละ 24,000 บาทจำเลยทั้งเจ็ดให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 3 และที่ 5 ต่างแยกการครอบครอง ดังนั้นคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท ในขณะยื่นฟ้อง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 และที่ 5 เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 5 รวมกันมา ทั้งจำเลยที่ 3 และที่ 5 จะยื่นคำให้การรวมกันมาในคำให้การเดียวกันก็ตาม แต่ที่ดินพิพาทในส่วนของจำเลยที่ 3 และที่ 5 ซึ่งพิพาทกับโจทก์แยกต่างหากจากกัน เพราะฉะนั้นค่าขึ้นศาลสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 5 ต้องคิดแยกต่างหากจากกันด้วย เมื่อที่ดินพิพาทในส่วนที่จำเลยที่ 3 และที่ 5 พิพาทกับโจทก์มีราคา 111,199.25 บาท และ52,037.58 บาท ตามลำดับ คดีสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 5 จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาของแต่ละคนไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5066/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องอุทธรณ์ฎีกาของผู้ที่มิได้เป็นคู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสีย
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้ง ก.เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายผู้ร้องจึงเป็นคู่ความในคดีนี้ ส่วน ก.มิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่ถูกกระทบสิทธิโดยคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ถือว่า ก.เป็นบุคคลภายนอกคดีไม่อยู่ในฐานะจะยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ ปัญหาว่าก.มีอำนาจฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกาหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5066/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการอุทธรณ์/ฎีกาของผู้จัดการมรดกที่ศาลตั้ง และการยกประเด็นโดยศาลฎีกา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้ง ก. และ พ. เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ก. มิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่ถูกกระทบสิทธิโดยคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถือว่า ก. เป็นบุคคลภายนอกคดีไม่อยู่ในฐานะที่จะยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพื่อขอให้ตั้ง ก. เป็นผู้จัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5066/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องอุทธรณ์ฎีกาของผู้จัดการมรดก: ผู้จัดการมรดกไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาหากมิได้ถูกกระทบสิทธิโดยตรง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งก. เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายผู้ร้องจึงเป็นคู่ความในคดีนี้ส่วนก. มิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่ถูกกระทบสิทธิโดยคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถือว่าก. เป็นบุคคลภายนอกคดีไม่อยู่ในฐานะจะยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ปัญหาว่าก. มีอำนาจฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกาหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบด้วยมาตรา246,247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5020/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประมาทเลินเล่อทางรถยนต์: การแบ่งความรับผิดชอบเมื่อผู้ขับขี่ทั้งสองฝ่ายประมาท และการจำกัดสิทธิฎีกาในประเด็นที่ยุติแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยและคนขับรถของโจทก์มีความประมาทเท่าๆกันค่าเสียหายของโจทก์จึงตกเป็นพับโจทก์อุทธรณ์ฝ่ายเดียวจำเลยแก้อุทธรณ์ว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบแล้วปัญหาว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาทด้วยหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาว่าจำเลยมิได้เป็นฝ่ายประมาทคงฎีกาได้เพียงว่าคนขับรถยนต์ของโจทก์มีส่วนประมาทด้วยหรือไม่และเมื่อคดีฟังได้ว่าคนขับรถของโจทก์และจำเลยมีความประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันค่าเสียหายจึงเป็นพับกันไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4980/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์และฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อยกว่าห้าหมื่นบาท
ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยโดยยกคำเบิกความของพยานโจทก์ จำเลยขึ้นวินิจฉัยประกอบกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการเดินเผชิญสืบ เป็นการวินิจฉัยพยานที่ปรากฏในสำนวนแล้ว
คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงห้ามมิให้จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อเท็จจริงโดยอ้างว่าต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าว แม้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับรองให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง จำเลยก็ฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะเมื่อต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นฎีกาจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำกัดสิทธิฎีกาในคดีอาญาที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ยกฟ้อง
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ยกฟ้องโจทก์และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา220
of 303