คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ทรัพย์สิน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,615 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1715/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำทรัพย์สินของผู้อื่นไปเพื่อเรียกหนี้ ไม่ถือเป็นการลักทรัพย์ หากมีเจตนาให้ชำระหนี้เท่านั้น
จำเลยเอาตู้เย็นของผู้เสียหายไปเพื่อให้ผู้เสียหายและภริยาผู้เสียหายไปติดต่อชำระหนี้ที่ค้างต่อกัน จึงไม่เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นกรณีไม่ต้องด้วย ป.อ. มาตรา 334จำเลยจึงไม่มีความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1715/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำทรัพย์สินของผู้อื่นไปเพื่อเรียกร้องหนี้ ไม่ถือเป็นการลักทรัพย์ หากมีเจตนาให้ชำระหนี้
ภริยาผู้เสียหายเป็นหนี้จำเลย จำเลยจึงตามไปที่บ้านผู้เสียหายและเอาตู้เย็นของผู้เสียหายไปเพื่อให้ผู้เสียหายและภริยาผู้เสียหายไปติดต่อชำระหนี้ที่ค้างต่อกัน การกระทำของจำเลยจึงมิได้เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตหรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1709/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้เช่าช่วงที่ไม่ได้รับความยินยอม: ไม่มีอำนาจพิเศษเหนือทรัพย์สิน
ผู้ร้องเป็นผู้เช่าตึกแถวพิพาทจากจำเลย แต่มิได้เป็น ผู้เช่าช่วงโดยชอบด้วยความยินยอมจากโจทก์และเจ้าของตึกแถวพิพาท ทั้ง ตามสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยห้ามมิให้จำเลยนำตึกแถวพิพาท ไป ให้เช่าช่วงด้วย ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลย ผู้ร้อง จึง ไม่มี อำนาจพิเศษเหนือตึกแถวพิพาท.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1636/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีหลังพิทักษ์ทรัพย์: เจ้าหนี้มีประกันต้องดำเนินการผ่านเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
การบังคับคดีที่ได้กระทำภายหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้แล้วยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ หมายบังคับคดีแพ่งดังกล่าวไม่อาจใช้ยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ได้ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 110 วรรคท้ายแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ส่วนโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้มีประกัน และมีสิทธิบังคับคดีแก่ที่ดินที่จำนองหรือเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินที่จำนองเพียงใด เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอาจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามขั้นตอนของกฎหมายในคดีล้มละลายต่อไป เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจำหน่ายที่ดินจำนองซึ่งลูกหนี้มีกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วย แต่ยังไม่ได้จ่ายเงิน และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับคำแจ้งความว่าลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และขอให้กันส่วนส่งเงินจำนวนดังกล่าวไปรวมไว้เป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลาย เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องปฏิบัติตามคำขอของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตาม มาตรา 111.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1512/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสมยอมเพื่อหลีกเลี่ยงชำระหนี้: การซื้อขายรถยนต์หลังถูกดำเนินคดีอาญาเพื่อป้องกันทรัพย์สิน
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่ารถยนต์พิพาทเป็นของผู้ร้อง ดังนี้เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 2 เพิ่งจะหย่ากับ ส. ภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเช็ครายนี้ เพียง 18 วัน ในวันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ จำเลยที่ 2 กับ ส. ก็ยังไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ที่จดทะเบียนหย่าและแบ่งทรัพย์สินกันเพราะถูกโจทก์เร่งรัดชำระหนี้ ผู้ร้องซึ่งเป็นน้องของ ส. กับจำเลยที่ 1รับซื้อรถยนต์ที่โจทก์นำยึดนี้ไว้ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้เพียง 6 วันและหลังจากทราบว่าจำเลยที่ 1 ถูกโจทก์ดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเช็ครายนี้แล้ว ทั้งโจทก์ก็นำยึดรถยนต์พิพาทได้ในขณะอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 2 รูปคดีเชื่อ ได้ว่า ผู้ร้องรับซื้อรถยนต์พิพาทไว้โดยไม่สุจริต รถยนต์ยังเป็นของจำเลยที่ 2.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1359/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินในคดีล้มละลาย: การโอนในราคาต่ำกว่าตลาดเพื่อเอื้อประโยชน์เจ้าหนี้รายหนึ่ง
การโอนที่จะต้องถูกเพิกถอนตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 115 นั้น ต้องเป็นการโอนภายในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลาย และภายหลังนั้น ให้แก่เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่แล้วก่อนโอนและการโอนนั้นทำให้เจ้าหนี้คนอื่น ๆ เสียเปรียบ ที่ว่าต้องเป็นเจ้าหนี้อยู่แล้วก่อนโอนนั้นหมายความว่า เจ้าหนี้กับลูกหนี้นั้นมีนิติสัมพันธ์กันมาก่อนแล้วอันเป็นการก่อสิทธิแก่เจ้าหนี้ที่จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนีได้ต่อไป จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านไว้ก่อนแล้ว ผู้คัดค้านจึงมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยในส่วนที่จะเรียกให้โอนบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านตามสัญญาจะซื้อจะขายอยู่แล้วก่อนโอนตามนัยบทกฎหมายดังกล่าวจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านในราคา 995,000 บาทต่อมาในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้จำเลยล้มละลาย จำเลยโอนขายบ้านและที่ดินพิพาทโดยจดทะเบียนการโอนไว้ในราคาเพียง500,000 บาท แม้ก่อนการโอนผู้คัดค้านต้องไปไถ่ถอนจำนองแทนจำเลยแต่ก็ปรากฏว่ามีการไถ่ถอนจำนองและโอนขายบ้านและที่ดินพิพาทในวันเดียวกัน โดยเงินที่นำไปไถ่ถอนเป็นเงินค่าบ้านและที่ดินพิพาทที่ต้องชำระให้จำเลยนั้นเอง การที่ผู้คัดค้านทำการไถ่ถอนจำนองและรับโอนบ้านและที่ดินพิพาทไปในราคาที่ต่ำกว่าราคาตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำไว้เดิม และเป็นการได้ทรัพย์ไปในขณะที่เจ้าหนี้รายอื่น ๆยังมิได้รับชำระหนี้ ประกอบกับได้ความว่าจำเลยมีทรัพย์สินไม่พอกับหนี้สิน การโอนทรัพย์สินของจำเลยในพฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นการทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการโอนหรือการกระทำนั้นได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115พระราชบัญญัติ ญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 มีความมุ่งหมายถึงการโอนทรัพย์สินหรือกระทำการใด ๆ ของลูกหนี้ ซึ่งได้กระทำโดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น โดยหาได้คำนึงถึงเหตุอันสมควรความจำเป็นหรือการถูกบังคับตามสัญญาไม่เมื่อตามพฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนการโอนได้ การเพิกถอนการโอนเป็นไปโดยผลของคำพิพากษา ตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนการโอน ก็ยังถือเป็นการโอนโดยชอบอยู่ยังถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนอันจะเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยนับแต่วันยื่นคำร้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หลอกลวงเอาทรัพย์สินด้วยการแสดงข้อความเท็จและการเอาเอกสารไปเสีย ทำให้เกิดความเสียหาย
โจทก์มอบเช็คพิพาทที่จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายชำระหนี้ค่าซื้อฟิล์มภาพยนตร์ซึ่งจำเลยที่ 1 ซื้อไปจากโจทก์คืนให้แก่จำเลยทั้งสองโดยหลงเชื่อคำขอของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองจะนำรถยนต์มามอบให้แก่โจทก์เป็นการแลกกับเช็คพิพาทในวันรุ่งขึ้นซึ่งไม่เป็นความจริง จำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่แรกในขณะที่จำเลยทั้งสองมาแจ้งโจทก์ว่าจะนำรถยนต์มามอบให้แก่โจทก์ไม่ใช่เรื่องผิดคำมั่นสัญญา เพราะการที่จำเลยทั้งสองแจ้งโจทก์ว่าจะนำรถยนต์มามอบให้โจทก์ไม่ใช่เหตุการณ์ตามความเป็นจริงในขณะนั้น แต่เป็นแผนการกำหนดขึ้นเพื่อให้โจทก์หลงเชื่อเป็นการหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และโดยการหลอกลวงดังกล่าวได้ไปซึ่งเช็คอันเป็นทรัพย์สินจากโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341 และยังเป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารของโจทก์ ทำให้โจทก์ขาดเอกสารที่จะฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมาย อันน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 188 อีกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายยังไม่บริบูรณ์: หน้าที่ชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทนและสิทธิในการเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืน
ว. บิดาโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลย แต่ยังชำระราคาไม่ครบถ้วน และยังมิได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่กัน เมื่อ ว.ถึงแก่ความตาย และโจทก์ได้ฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ดังนี้จำเลยมีหน้าที่จะต้องโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และโจทก์ก็มีหน้าที่ต้องชำระค่าที่ดินที่ค้างชำระนั้นให้แก่จำเลยเพราะเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่และการเรียกค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิในทรัพย์สิน โดยคดีก่อนหน้าไม่เป็นอุปสรรค
จำเลยฟ้อง ป. เป็นจำเลยต่อศาลว่า ป. ทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทแล้วไม่จดทะเบียนการเช่าให้ ขอให้พิพากษาบังคับให้ ป. จดทะเบียนการเช่าตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยซึ่งโจทก์มิใช่คู่ความในคดีดังกล่าว แม้ศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่เป็นการห้ามมิให้โจทก์ซึ่งรับโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวพิพาทจาก ป. ฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขับไล่ อ. ออกจากตึกแถวพิพาท เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อศาลว่าจำเลยเป็นบริวารของ อ. ขอให้ออกหมายบังคับคดีให้จำเลยออกไปจากตึกแถวพิพาท จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านว่า จำเลยได้เช่าตึกแถวพิพาทจาก ป. และศาลพิพากษาให้ ป. จดทะเบียนสิทธิการเช่าให้แก่จำเลยแล้วจำเลยไม่ใช่บริวารของ อ. การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีให้จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทโดยอ้างว่าจำเลยเป็นบริวารของ อ. ในคดีดังกล่าว และศาลก็ยังไม่มีคำสั่งชี้ขาดว่าจำเลยเป็นบริวารของ อ. หรือไม่ มิใช่เป็นการยื่นฟ้องคดีต่อศาล ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของตึกแถวพิพาท จำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในตึกแถวดังกล่าวขอให้ขับไล่ จึงมิใช่เป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันกับคดีดังกล่าวคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีดังกล่าว
จำเลยอยู่ในตึกแถวพิพาทเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของตลอดเวลาที่จำเลยยังอยู่ในตึกแถวของโจทก์ โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายนับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่และการเรียกค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิในทรัพย์สิน โดยคดีก่อนไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟ้องคดีใหม่
จำเลยฟ้อง ป. เป็นจำเลยต่อศาลว่า ป. ทำสัญญาให้จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทแล้วไม่จดทะเบียนการเช่าให้ ขอให้พิพากษาบังคับให้ ป. จดทะเบียนการเช่าตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยซึ่งโจทก์มิใช่คู่ความในคดีดังกล่าว แม้ศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่เป็นการห้ามมิให้โจทก์ซึ่งรับโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวพิพาทจาก ป. ฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว โจทก์ฟ้องขับไล่ อ. ออกจากตึกแถวพิพาท เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อศาลว่าจำเลยเป็นบริวารของ อ. ขอให้ออกหมายบังคับคดีให้จำเลยออกไปจากตึกแถวพิพาท จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านว่า จำเลยได้เช่าตึกแถวพิพาทจาก ป. และศาลพิพากษาให้ ป. จดทะเบียนสิทธิการเช่าให้แก่จำเลยแล้วจำเลยไม่ใช่บริวารของ อ. การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีให้จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทโดยอ้างว่าจำเลยเป็นบริวารของ อ. ในคดีดังกล่าว และศาลก็ยังไม่มีคำสั่งชี้ขาดว่าจำเลยเป็นบริวารของ อ. หรือไม่ มิใช่เป็นการยื่นฟ้องคดีต่อศาล ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของตึกแถวพิพาท จำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในตึกแถวดังกล่าวขอให้ขับไล่ จึงมิใช่เป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันกับคดีดังกล่าวคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีดังกล่าว จำเลยอยู่ในตึกแถวพิพาทเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของตลอดเวลาที่จำเลยยังอยู่ในตึกแถวของโจทก์ โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายนับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
of 262