พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,459 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 509/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวฟ้องซ้ำ สิทธิฟ้องระงับเมื่อมีคำพิพากษาเด็ดขาดแล้ว
โจทก์เป็นบิดาผู้ตาย ฟ้องจำเลยฐานฆ่าผู้ตายไว้ก่อน ต่อมาอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานประมาททำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลย คดีถึงที่สุด ดังนี้เมื่อการกระทำของจำเลยครั้งเดียวเป็นกรรมเดียวแม้จะถูกฟ้องต่างข้อหากัน เมื่อได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่อัยการฟ้องแล้วสิทธิฟ้องคดีของโจทก์แม้จะได้ฟ้องไว้ก่อน ก็ต้องถือว่าระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 424/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำในคดีอาญา: ความผิดพยายามฆ่าเชื่อมโยงกับคดีปล้นทรัพย์ที่ศาลตัดสินแล้ว
จำเลยถูกฟ้อง ศาลพิพากษาเสร็จไปแล้วในคดีเรื่องปล้นทรัพย์อัยการโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกว่าจำเลยพยายามฆ่า ส. ซึ่งเข้ามาช่วยเจ้าทรัพย์ในคดีปล้นทรัพย์นั้น เพื่อเอาผลประโยชน์แห่งการปล้นทรัพย์ ดังนี้ เป็นกรรมเดียวกับปล้นทรัพย์ซึ่งศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้วเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2661/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำในข้อผิดสัญญาเดิมที่เคยมีคำพิพากษาแล้ว ย่อมเป็นข้อต้องห้ามตามกฎหมาย
ศาลยกคำร้องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทำผิดสัญญายอมความที่มีคำพิพากษาไปแล้ว โจทก์ร้องอีกในข้อเดียวกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2292/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขอสิทธิในที่ดินหลังคำพิพากษาตามยอม ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ หากมิได้ขอให้บังคับคดี
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินครึ่งหนึ่งในโฉนดที่พิพาทโดยได้รับมรดกแล้วครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์ด้วยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมากว่า 10 ปีแล้ว มารดาจำเลยเคยเป็นความกับโจทก์ แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอมให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง และให้แบ่งที่ดินให้โจทก์ต่อมามารดาจำเลยถึงแก่กรรม จำเลยได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินตามโฉนดดังกล่าวทั้งโฉนด ดังนี้ แม้ได้ความว่าโจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมในคดีที่โจทก์พิพาทกับมารดาจำเลยเสียภายใน 10 ปีก็ตาม แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดครึ่งหนึ่ง และขอแบ่งแยกที่พิพาท โจทก์มิได้ร้องขอให้บังคับคดีในคดีก่อน กรณีจึงเป็นคนละเรื่องกัน จะนำอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 มาใช้บังคับในคดีนี้ไม่ได้ และจำเลยได้โต้แย้งสิทธิในที่พิพาทขึ้นใหม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2148/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความมูลละเมิดและการละทิ้งคดี: ผลกระทบต่อการสะดุดหยุดของอายุความ
โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีก่อนเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดภายในอายุความ 1 ปี แม้มีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 173 แต่เมื่อโจทก์ขาดนัดพิจารณาและศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 วรรคแรกนั้น ย่อมถือได้ว่าโจทก์ละทิ้งคดีและไม่นับว่าการฟ้องคดีดังกล่าวเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 174 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 74/2512) การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีหลัง เมื่อเกินกำหนด 1 ปี นับแต่โจทก์ทราบว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคแรก
กรณีศาลสั่งจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 วรรคแรกนั้น โจทก์มีสิทธิที่จะเสนอคำฟ้องใหม่ได้ แต่ต้องอยู่ภายในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความ
กรณีศาลสั่งจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 วรรคแรกนั้น โจทก์มีสิทธิที่จะเสนอคำฟ้องใหม่ได้ แต่ต้องอยู่ภายในบังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจร้องสอด & เจตนายกทรัพย์: ศาลฎีกาวินิจฉัยเรื่องการฟ้องซ้ำและการให้ทรัพย์โดยมีเจตนาเฉพาะ
ผู้ร้องสอดเคยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าเป็นสินบริคณห์ของโจทก์กับผู้ร้องสอด โจทก์เอาไปให้จำเลยโดยผู้ร้องสอดไม่รู้เห็นยินยอม แล้วผู้ร้องสอดขอถอนฟ้องในวันสืบพยานนัดแรก โดยแถลงต่อศาลว่าจะไม่นำคดีมาฟ้องจำเลยอีก ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีนี้ขอแบ่งทรัพย์จากจำเลยในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมซึ่งทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นรายเดียวกับคดีที่ผู้ร้องสอดเคยฟ้องจำเลย ผู้ร้องสอดได้ร้องสอดเข้ามาในคดีอีก ดังนี้ คำร้องสอดถือว่าเป็นคำฟ้อง ผู้ร้องสอดจึงไม่มีอำนาจร้องสอด(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2002/2511)
โจทก์กับผู้ร้องสอดเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาโจทก์ได้จำเลยเป็นภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนอีกคนหนึ่ง โจทก์ได้ออกเงินซื้อทรัพย์พิพาทโดยมีเจตนายกให้จำเลย เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเมื่อมีบุตรเกิดขึ้น ดังนี้เมื่อโจทก์มีเจตนายกให้จำเลย จึงเรียกร้องทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งจากจำเลยหาได้ไม่
โจทก์กับผู้ร้องสอดเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาโจทก์ได้จำเลยเป็นภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนอีกคนหนึ่ง โจทก์ได้ออกเงินซื้อทรัพย์พิพาทโดยมีเจตนายกให้จำเลย เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเมื่อมีบุตรเกิดขึ้น ดังนี้เมื่อโจทก์มีเจตนายกให้จำเลย จึงเรียกร้องทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งจากจำเลยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1418/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดสิทธิฟ้องคดีซ้ำ กรณีทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว แม้ปากทางจะแคบ
เดิมโจทก์เคยฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางในที่ดินของจำเลยโดยอ้างว่าเป็นทางภารจำยอม แล้วโจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมเปิดทางในที่ดินดังกล่าวกว้าง 2 เมตร 50 เซนติเมตร ยาวตลอดที่ดิน ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความทั้งสองฝ่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 เมื่อจำเลยได้เปิดทางให้ผ่านที่ดินของจำเลยถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้รับความสะดวกเพราะปากทางแคบไปโจทก์ก็ไม่มีอำนาจมาฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางให้กว้างขึ้นไปอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1404/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาเดิม: โจทก์ฟ้องซ้ำไม่ได้หากเคยถูกตัดสินแล้วว่าที่ดินพิพาทไม่อยู่ในโฉนด
จำเลยเคยยื่นคำร้องในคดีก่อนอ้างว่าที่พิพาทเป็นที่ดินในโฉนดของโจทก์ ซึ่งจำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปกปักษ์ขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่าจำเลยมิได้ครอบครองรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโฉนดของโจทก์ ความจริงจำเลยเข้าไปอาศัยและทำนาโดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นที่เช่าที่ดินไปจากโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยมิได้ครอบครองรุกล้ำเข้าไปในเขตโฉนดของโจทก์ โดยต่างคนต่างครอบครองตามแนวเขตที่ดินของตนไม่ปรปักษ์กัน ดังนี้ คำพิพากษาคดีก่อนจะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์จึงต้องผูกพันในคำพิพากษานั้นว่า ที่พิพาทไม่ได้อยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 การที่โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีหลังและนำสืบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายจึงรับฟังไม่ได้
แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้อง แต่เมื่อคำพิพากษาวินิจฉัยมีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของจำเลย จำเลยย่อมอุทธรณ์ได้
แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้อง แต่เมื่อคำพิพากษาวินิจฉัยมีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของจำเลย จำเลยย่อมอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1404/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาเดิม: โจทก์ฟ้องซ้ำไม่ได้เมื่อคำพิพากษาเดิมวินิจฉัยกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว
จำเลยเคยยื่นคำร้องในคดีก่อนอ้างว่าที่พิพาทเป็นที่ดินในโฉนดของโจทก์ซึ่งจำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่าจำเลยมิได้ครอบครองรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโฉนดของโจทก์ ความจริงจำเลยเข้าไปอาศัยและทำนาโดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นที่เช่าที่ดินไปจากโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยมิได้ครอบครองรุกล้ำเข้าไปในเขตโฉนดของโจทก์ โดยต่างคนต่างครอบครองตามแนวเขตที่ดินของตนไม่ปรปักษ์กันดังนี้ คำพิพากษาคดีก่อนจะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์จึงต้องผูกพันในคำพิพากษานั้นว่า ที่พิพาทไม่ได้อยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 การที่โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีหลังและนำสืบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายจึงรับฟังไม่ได้
แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้อง แต่เมื่อคำพิพากษาวินิจฉัยมีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของจำเลย จำเลยย่อมอุทธรณ์ได้
แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้อง แต่เมื่อคำพิพากษาวินิจฉัยมีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของจำเลย จำเลยย่อมอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 804/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำในประเด็นการเป็นทายาทและสิทธิในที่ดินหลังศาลตัดสินถึงที่สุดแล้ว
คดีก่อน โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เป็นบุตรและทายาทโดยธรรมของ ฟ. ขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโดยทางรับมรดก ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว ว่าโจทก์มิใช่บุตรของ ฟ. ไม่มีสิทธิรับมรดก โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอ้างเหตุว่าโจทก์เป็นบุตรและทายาทโดยธรรมของ ฟ. และเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้โดยทางรับมรดกอีก เป็นประเด็นเดียวกับคดีก่อน จึงเป็นฟ้องซ้ำ
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7-8 /2519)
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7-8 /2519)