พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,361 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1084/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนองและการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้: สัญญาจำนองผูกนิติสัมพันธ์โดยตรงหลังเปลี่ยนเจ้าหนี้
เดิมจำเลยร่วมกู้ยืมเงินจากธนาคารแทนโจทก์โดยโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกัน ต่อมาจำเลยร่วมชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแทนโจทก์แต่โจทก์ยังไม่ชำระหนี้ให้แก่จำเลยร่วม จำเลยร่วมตกลงโอนหนี้ให้แก่จำเลยโจทก์ตกลงด้วยและจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวด้วยใจสมัครเพื่อประกันหนี้จำเลยที่ชอบด้วยกฎหมาย เช่นนี้เป็นการตกลงทำสัญญาจำนองผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยตรง โดยโจทก์ยินยอมให้เปลี่ยนตัวเจ้าหนี้จากจำเลยร่วมมาเป็นจำเลยก่อนแล้ว การทำสัญญาจำนองจึงไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ที่จะต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้องซึ่งจะต้องมีการทำเป็นหนังสือแยกต่างหาก
(วินิจฉัยตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1631/2535)
(วินิจฉัยตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1631/2535)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1084/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้และการทำสัญญาจำนองโดยตรง ไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้อง
เดิมจำเลยร่วมกู้ยืมเงินจากธนาคาร ก. แทนโจทก์ต่อมาจำเลยร่วมชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแทนโจทก์แต่โจทก์ยังไม่ชำระหนี้ให้แก่จำเลยร่วมแล้วจำเลยร่วมได้โอนหนี้ดังกล่าวให้แก่จำเลยโจทก์ตกลงด้วยและจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันหนี้แก่จำเลยดังนี้เป็นการตกลงทำสัญญาจำนองระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยตรงโดยโจทก์ยินยอมให้เปลี่ยนตัวเจ้าหนี้จากจำเลยร่วมมาเป็นจำเลยก่อนแล้วการทำสัญญาจำนองจึงไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างจำเลยร่วมกับจำเลยที่ต้องมีการทำเป็นหนังสือต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1084/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตกลงจำนองเพื่อชำระหนี้แทนกัน การเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ และผลของการทำสัญญาผูกนิติสัมพันธ์โดยตรง
เดิมจำเลยร่วมกู้ยืมเงินจากธนาคารแทนโจทก์โดยโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันต่อมาจำเลยร่วมชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแทนโจทก์แต่โจทก์ยังไม่ชำระหนี้ให้แก่จำเลยร่วมจำเลยร่วมตกลงโอนหนี้ให้แก่จำเลยโจทก์ตกลงด้วยและจดทะเบียนจำนองที่ดินดังกล่าวด้วยใจสมัครเพื่อประกันหนี้จำเลยที่ชอบด้วยกฎหมายเช่นนี้เป็นการตกลงทำสัญญาจำนองผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยโดยตรงโดยโจทก์ยินยอมให้เปลี่ยนตัวเจ้าหนี้จากจำเลยร่วมมาเป็นจำเลยก่อนแล้วการทำสัญญาจำนองจึงไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ที่จะต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้องซึ่งจะต้องมีการทำเป็นหนังสือแยกต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารค้ำประกันต้องมีเจตนาชำระหนี้แทนลูกหนี้ หากไม่มีข้อความดังกล่าว ไม่ถือเป็นสัญญาค้ำประกัน
เอกสารที่จะเข้าลักษณะเป็นสัญญาค้ำประกันต้องมีข้อความที่ให้ความหมายว่า เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้แล้วบุคคลภายนอกนั้นจะยอมชำระหนี้แทนแต่เอกสารพิพาทมีข้อความว่า "ข้าพเจ้านางสาว อ.(จำเลยที่ 2) นางสาว ด.(จำเลยที่ 3) ขอรับรองว่าจะนำโฉนดที่ดิน (ระบุเลขโฉนด) มอบให้ ม.ในวันที่13 มีนาคม 2531 เพื่อเป็นหลักทรัพย์ซึ่ง น.(จำเลยที่ 1) ได้บกพร่องต่อทางราชการสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี ตามความเป็นจริงที่ น.ได้กระทำเท่านั้น" เมื่อเอกสารดังกล่าวไม่ปรากฏข้อความที่ให้ความหมายว่าถ้าจำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะชำระแทน จึงไม่ใช่เอกสารที่แสดงว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1016/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาโมฆะ: สิทธิเรียกร้องจากสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างเหตุว่าจำเลยผิดสัญญาและกระทำละเมิดต่อโจทก์ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเพื่อให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ล้วนมาจากเหตุที่จำเลยผิดสัญญาการร่วมจัดหางานที่ทำไว้กับโจทก์ทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อสัญญาการร่วมจัดหางานดังกล่าวเป็นโมฆะเพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์จึงไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ตามสัญญาดังกล่าวเพื่อบังคับให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1003/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับโอนเช็คพิพาทด้วยคบคิดฉ้อฉลทำให้ขาดอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 2 ปลูกบ้านและได้ออกเช็คพิพาททั้งสองฉบับลงวันที่ล่วงหน้า มอบให้จำเลยที่ 2 เป็นค่าจ้างปลูกบ้านงวดที่ 4เมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับเช็คพิพาทแล้วก็ทิ้งงานไป จำเลยที่ 1 ได้แจ้งให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้แนะนำจำเลยที่ 2 ให้รู้จักกับจำเลยที่ 1 ทราบ และให้ช่วยติดตามจำเลยที่ 2ให้ด้วย ดังนั้นการที่โจทก์รับเช็คพิพาทจากจำเลยที่ 2 ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าเช็คดังกล่าวเป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 จ่ายให้จำเลยที่ 2 เป็นค่าจ้างสร้างบ้านงวดที่ 4 และจำเลยที่ 2 ได้ทิ้งงานไปไม่สร้างให้เสร็จตามสัญญา จำเลยที่ 1 จึงไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระตามเช็คพิพาทให้จำเลยที่ 2 การรับโอนเช็คพิพาทของโจทก์จากจำเลยที่ 2เป็นการรับโอนด้วยคบคิดกันฉ้อฉล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินตามเช็ค
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสัญญา: การนับอายุความเริ่มจากวันเกิดสิทธิเรียกร้อง และผลของการให้การต่อสู้เรื่องอายุความ
จำเลยร่วมให้การว่า อายุความตามสัญญาที่ฟ้องมีกำหนด 2 ปีซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2528 โจทก์ไม่ฟ้องจำเลยร่วมภายในเวลาดังกล่าว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ดังนี้ คำให้การของจำเลยร่วมได้แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่าเหตุใดจึงมีอายุความ 2 ปี และอายุความเริ่มนับแต่เมื่อใด เพราะเป็นเพียงรายละเอียดซึ่งนำสืบในชั้นพิจารณาได้ และเป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับบทตามกฎหมาย คำให้การของจำเลยร่วมจึงชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง
โจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีหลังจากศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้ว เมื่อจำเลยร่วมให้การต่อสู้เรื่องอายุความไว้ การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ในเรื่องอายุความตามข้อต่อสู้ของจำเลยร่วม และจำเลยร่วมไม่ได้คัดค้าน จะถือว่าจำเลยร่วมพอใจในประเด็นข้อพิพาทเพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เท่านั้นหาได้ไม่ คดีมีประเด็นเรื่องอายุความ การที่ศาลอุทธรณ์ยกอายุความขึ้นวินิจฉัยจึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ถมทรายงวดที่ 4 ที่ 5 เสร็จก่อนกำหนดเวลาส่งมอบตามสัญญา โจทก์จึงส่งมอบงานและส่งใบแจ้งหนี้แก่จำเลยร่วมลงวันที่ 1 ธันวาคม 2526ซึ่งจำเลยร่วมต้องชำระเงินภายใน 3 วัน นับแต่วันได้รับใบแจ้งหนี้ตามข้อกำหนดในสัญญา แต่วันครบกำหนดคือวันที่ 4 ธันวาคม 2526 เป็นวันอาทิตย์ วันที่ 5เป็นวันหยุดราชการ จำเลยร่วมจึงต้องชำระเงินภายในวันที่ 6 ธันวาคม 2526เมื่อจำเลยร่วมไม่ชำระ โจทก์ย่อมเกิดสิทธิเรียกร้องบังคับได้ อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2526 เป็นต้นไป เมื่อโจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีวันที่ 17 มกราคม 2529 จึงเกิน 2 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ
โจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีหลังจากศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้ว เมื่อจำเลยร่วมให้การต่อสู้เรื่องอายุความไว้ การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ในเรื่องอายุความตามข้อต่อสู้ของจำเลยร่วม และจำเลยร่วมไม่ได้คัดค้าน จะถือว่าจำเลยร่วมพอใจในประเด็นข้อพิพาทเพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เท่านั้นหาได้ไม่ คดีมีประเด็นเรื่องอายุความ การที่ศาลอุทธรณ์ยกอายุความขึ้นวินิจฉัยจึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์ถมทรายงวดที่ 4 ที่ 5 เสร็จก่อนกำหนดเวลาส่งมอบตามสัญญา โจทก์จึงส่งมอบงานและส่งใบแจ้งหนี้แก่จำเลยร่วมลงวันที่ 1 ธันวาคม 2526ซึ่งจำเลยร่วมต้องชำระเงินภายใน 3 วัน นับแต่วันได้รับใบแจ้งหนี้ตามข้อกำหนดในสัญญา แต่วันครบกำหนดคือวันที่ 4 ธันวาคม 2526 เป็นวันอาทิตย์ วันที่ 5เป็นวันหยุดราชการ จำเลยร่วมจึงต้องชำระเงินภายในวันที่ 6 ธันวาคม 2526เมื่อจำเลยร่วมไม่ชำระ โจทก์ย่อมเกิดสิทธิเรียกร้องบังคับได้ อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2526 เป็นต้นไป เมื่อโจทก์เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีวันที่ 17 มกราคม 2529 จึงเกิน 2 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 933/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้จากการมอบอำนาจโอนกรรมสิทธิ์และการบังคับตามสัญญาเดิม แม้ผู้รับโอนเปลี่ยนแปลง
ที่พิพาทโจทก์จำเลยตีราคาไว้จำนวน 100,000 บาท ดังนั้นราคาทรัพย์หรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียง 100,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทแก่ ว.บุตรสาว ที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยได้ทำหนังสือมอบอำนาจนั้นให้โจทก์ไว้เพราะไม่มีการมอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านและโฉนดที่ดินให้โจทก์ตามเหตุผลที่ยกขึ้นอ้างในฎีกาข้อ 2 นั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญายกที่พิพาทให้แก่บุตร 2 คน ตามบันทึกหลังทะเบียนหย่า โจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาจึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ที่จะต้องโอนที่พิพาทให้แก่บุตรทั้งสอง จำเลยได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไปดำเนินการโอนที่พิพาทให้แก่บุตรแทนจำเลย ถือได้ว่าการที่จำเลยทำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวให้โจทก์ไว้เป็นการกระทำใด ๆ อันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามบันทึกหลังทะเบียนหย่า อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 172 เดิม เมื่อหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 4 สิงหาคม 2524 อายุความจึงสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2524 และเริ่มนับใหม่ต่อไป โจทก์ฟ้องคดีวันที่4 กรกฎาคม 2533 ยังไม่เกิน 10 ปี จึงไม่ขาดอายุความ
บันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนหย่าระหว่างโจทก์จำเลยระบุยกที่พิพาทแก่บุตรทั้ง 2 คน โดยมิได้มีเงื่อนไขกำหนดให้สัญญาสิ้นความผูกพันหากเหลือบุคคลที่จะเป็นผู้รับทรัพย์นั้นเพียงผู้เดียว และเมื่อ พ.บุตรคนหนึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว จำเลยยังทำหนังสือมอบอำนาจเป็นการรับสภาพหนี้ที่มีความผูกพันที่จะโอนที่พิพาทให้แก่ ว.บุตร ซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่ายังคงเหลืออยู่เพียงผู้เดียวโดยระบุชื่อ ว.เป็นผู้รับโอนไว้อย่างชัดแจ้ง ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงในการยกที่พิพาทนั้น ต้องการยกให้แก่บุตรเท่านั้นโดยมิได้คำนึงถึงจำนวนบุตรว่าจะอยู่ครบทั้งคู่หรือเหลือเพียงคนเดียว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่พิพาทแก่ ว. ตามสัญญาและศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาททั้งแปลงแก่ ว. ได้
การที่จำเลยระบุผู้รับโอนที่พิพาทเป็น ว.เพียงคนเดียวในหนังสือมอบอำนาจแตกต่างไปจากสัญญาเดิม ก็หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญาเดิม ซี่งต้องห้ามตามประมวล-กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ตามที่จำเลยอ้างไม่
โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญายกที่พิพาทให้แก่บุตร 2 คน ตามบันทึกหลังทะเบียนหย่า โจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาจึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ที่จะต้องโอนที่พิพาทให้แก่บุตรทั้งสอง จำเลยได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไปดำเนินการโอนที่พิพาทให้แก่บุตรแทนจำเลย ถือได้ว่าการที่จำเลยทำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวให้โจทก์ไว้เป็นการกระทำใด ๆ อันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามบันทึกหลังทะเบียนหย่า อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 172 เดิม เมื่อหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 4 สิงหาคม 2524 อายุความจึงสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2524 และเริ่มนับใหม่ต่อไป โจทก์ฟ้องคดีวันที่4 กรกฎาคม 2533 ยังไม่เกิน 10 ปี จึงไม่ขาดอายุความ
บันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนหย่าระหว่างโจทก์จำเลยระบุยกที่พิพาทแก่บุตรทั้ง 2 คน โดยมิได้มีเงื่อนไขกำหนดให้สัญญาสิ้นความผูกพันหากเหลือบุคคลที่จะเป็นผู้รับทรัพย์นั้นเพียงผู้เดียว และเมื่อ พ.บุตรคนหนึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว จำเลยยังทำหนังสือมอบอำนาจเป็นการรับสภาพหนี้ที่มีความผูกพันที่จะโอนที่พิพาทให้แก่ ว.บุตร ซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่ายังคงเหลืออยู่เพียงผู้เดียวโดยระบุชื่อ ว.เป็นผู้รับโอนไว้อย่างชัดแจ้ง ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงในการยกที่พิพาทนั้น ต้องการยกให้แก่บุตรเท่านั้นโดยมิได้คำนึงถึงจำนวนบุตรว่าจะอยู่ครบทั้งคู่หรือเหลือเพียงคนเดียว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่พิพาทแก่ ว. ตามสัญญาและศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาททั้งแปลงแก่ ว. ได้
การที่จำเลยระบุผู้รับโอนที่พิพาทเป็น ว.เพียงคนเดียวในหนังสือมอบอำนาจแตกต่างไปจากสัญญาเดิม ก็หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญาเดิม ซี่งต้องห้ามตามประมวล-กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ตามที่จำเลยอ้างไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 933/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความและผลของการมอบอำนาจ: การกระทำใดๆที่แสดงเจตนาชัดเจนถือเป็นการรับสภาพหนี้ ทำให้ระยะเวลาอายุความเริ่มต้นใหม่
โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาตามบันทึกหลังทะเบียนหย่ายกที่พิพาทให้แก่ พ. และ ว.ซึ่งเป็นบุตรโจทก์จำเลยจึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ที่จะต้องโอนที่พิพาทให้แก่บุตรทั้งสองเมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจำเลยได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไปดำเนินการโอนที่พิพาทให้แก่บุตรแทนจำเลยเป็นการกระทำการใดๆอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้อายุความย่อมสะดุดหยุดลง แม้ พ. ถึงแก่กรรมไปแล้วขณะที่จำเลยทำหนังสือมอบอำนาจซึ่งจำเลยได้ระบุผู้รับโอนที่พิพาทเป็น ว. เพียงคนเดียวในหนังสือมอบอำนาจอันแตกต่างไปจากสัญญาเดิม(ที่ระบุทั้ง ว. และ พ.)ก็หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 933/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องบังคับตามสัญญา, การมอบอำนาจ, และเจตนาในการยกทรัพย์ให้บุตร
ที่พิพาทโจทก์จำเลยตีราคาไว้จำนวน100,000บาทดังนั้นราคาทรัพย์หรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียง100,000บาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทแก่ ว. บุตรสาวที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยได้ทำหนังสือมอบอำนาจนั้นให้โจทก์ไว้เพราะไม่มีการมอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนสำเนาทะเบียนบ้านและโฉนดที่ดินให้โจทก์ตามเหตุผลที่ยกขึ้นอ้างในฎีกาข้อ2นั้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญายกที่พิพาทให้แก่บุตร2คนตามบันทึกหลังทะเบียนหย่าโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาจึงมีฐานะเป็นลูกหนี้ที่จะต้องโอนที่พิพาทให้แก่บุตรทั้งสองจำเลยได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไปดำเนินการโอนที่พิพาทให้แก่บุตรแทนจำเลยถือได้ว่าการที่จำเลยทำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวให้โจทก์ไว้เป็นการกระทำใดๆอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามบันทึกหลังทะเบียนหย่าอายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา172เดิมเมื่อหนังสือมอบอำนาจลงวันที่4สิงหาคม2524อายุความจึงสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่4สิงหาคม2524และเริ่มนับใหม่ต่อไปโจทก์ฟ้องคดีวันที่4กรกฎาคม2533ยังไม่เกิน10ปีจึงไม่ขาดอายุความ บันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนหย่าระหว่างโจทก์จำเลยระบุยกที่พิพาทแก่บุตรทั้ง2คนโดยมิได้มีเงื่อนไขกำหนดให้สัญญาสิ้นความผูกพันหากเหลือบุคคลที่จะเป็นผู้รับทรัพย์นั้นเพียงผู้เดียวและเมื่อ พ.บุตรคนหนึ่งถึงแก่กรรมไปแล้วจำเลยยังทำหนังสือมอบอำนาจเป็นการรับสภาพหนี้ที่มีความผูกพันที่จะโอนที่พิพาทให้แก่ ว. บุตรซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่ายังคงเหลืออยู่เพียงผู้เดียวโดยระบุชื่อว. เป็นผู้รับโอนไว้อย่างชัดแจ้งย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงในการยกที่พิพาทนั้นต้องการยกให้แก่บุตรเท่านั้นโดยมิได้คำนึงถึงจำนวนบุตรว่าจะอยู่ครบทั้งคู่หรือเหลือเพียงคนเดียวโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่พิพาทแก่ ว.ตามสัญญาและศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาททั้งแปลงแก่ ว. ได้ การที่จำเลยระบุผู้รับโอนที่พิพาทเป็น ว. เพียงคนเดียวในหนังสือมอบอำนาจแตกต่างไปจากสัญญาเดิมก็หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารสัญญาเดิมซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94ตามที่จำเลยอ้างไม่