พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,377 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2238/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาใหม่กรณีส่งหมายเรียกไม่ชอบ การขาดนัด และกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่า โจทก์ได้ยื่นคำแถลงเท็จต่อศาลขอประกาศทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งวันนัดสืบพยานโจทก์แก่จำเลย ตลอดจนขอให้ศาลประกาศให้จำเลยทราบคำบังคับที่หน้าศาล โดยอ้างว่าไม่ทราบที่อยู่ของจำเลย ศาลหลงเชื่อจึงอนุญาตให้ประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ ซึ่งไม่ใช่หนังสือพิมพ์ที่แพร่หลายในหมู่ประชาชน จำเลยไม่ทราบการให้จำเลยยื่นคำให้การแก้คดี การนัดสืบพยานโจทก์และการประกาศคำบังคับ หากได้ความว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยอ้าง การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งวันนัดสืบพยานโจทก์ ตลอดจนการส่งคำบังคับแก่จำเลยก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อไม่มีการส่งคำบังคับโดยชอบ จำเลยย่อมยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อใดก็ได้ หาตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา208 วรรคหนึ่ง ไม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยโดยอ้างว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เกินกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา208 โดยยังมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาหรือไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของจำเลยและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีแล้ว ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งวันนัดสืบพยานโจทก์แก่จำเลยไม่ชอบ จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยโดยอ้างว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เกินกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา208 โดยยังมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาหรือไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของจำเลยและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีแล้ว ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งวันนัดสืบพยานโจทก์แก่จำเลยไม่ชอบ จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2131/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำผิดฐานครอบครองไม้ผิดกฎหมาย โดยเจ้าของไม้พยายามอ้างสิทธิ
ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ตามที่โจทก์ จำเลยที่ 3 นำสืบว่าทั้งก่อนจับกุมและหลังจับกุม ธ. ได้พยายามขอร้องไม่ให้จับกุม และยึดไม้ที่บรรทุกรถมาอ้างว่าตนเองมีส่วนเป็นเจ้าของ และจะนำเอาไปชำระหนี้ แต่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ยินยอม จำเลยที่ 3กับพวกจึงถูกจับกุม และยึดไม้ของกลาง กรณีจึงน่าเชื่อว่า ธ.เป็นเจ้าของไม้ของกลาง จำเลยที่ 3 กับพวกเพียงช่วยเหลือให้ความสะดวกในการขนไม้ของกลาง ดังนี้จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 86.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกที่ดินให้ด้วยวาจาไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย และสิทธิในการฟ้องเรียกทรัพย์คืน
มารดาโจทก์ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ด้วยวาจา ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การให้ดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 525,456 โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทยังเป็นของมารดาโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินพิพาทจากจำเลย ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของมารดาโจทก์ รูปคดีมิใช่เรื่องลาภมิควรได้ตามที่โจทก์อ้างในคำฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1970/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้ต้องเป็นหนี้ที่ถึงที่สุดแล้ว และการบังคับคดีตามคำพิพากษาที่ชอบด้วยกฎหมายย่อมทำได้
ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้โจทก์แล้วจำเลยทั้งสองขอหักกลบลบหนี้โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหนี้เงินฝากไว้กับโจทก์ แต่โจทก์ยื่นคำแก้ฎีกาโต้แย้งว่าหนี้นั้นมีข้อต่อสู้อยู่หลายประการข้อเท็จจริงจึงยังไม่ยุติว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหนี้โจทก์อยู่ตามที่อ้าง จะนำมาหักกลบลบหนี้ไม่ได้ และเมื่อจำเลยทั้งสองยังไม่ได้ฟ้องร้องโจทก์ในมูลหนี้ที่อ้างเพื่อจะนำมาหักกลบลบหนี้กับโจทก์ จึงไม่มีเหตุที่จำเลยทั้งสองจะขอให้งดการบังคับคดีไว้ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 1 เพราะเห็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นร่วมกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องดังกล่าว ดังนั้น ปัญหาตามฎีกาสำหรับจำเลยที่ 1 ที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ขอให้ถอนการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 นั้น จึงถือว่าเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ได้ และไม่ปรากฏว่ามีการออกหมายบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายจำเลยที่ 2 จะมาโต้เถียงว่าการบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดโดยชอบแล้วเป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายหาได้ไม่จึงไม่มีเหตุที่จะถอนการบังคับคดีให้แก่จำเลยที่ 2.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1922/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับบุตรบุญธรรมต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย การยินยอมของภริยาไม่ถือเป็นการรับบุตรบุญธรรม
นาย ป.สามีแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้จดทะเบียนรับผู้ร้องเป็นบุตรบุญธรรม นาง ส.ภรรยาของนาย ป.ไม่ได้จดทะเบียนรับผู้ร้องเป็นบุตรบุญธรรมแต่อย่างใด บันทึกต่อท้ายทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมเป็นเพียงหลักฐานที่นายทะเบียนได้ทำขึ้นเพื่อแสดงว่า นาง ส.ได้ยินยอมให้นาย ป.จดทะเบียนรับผู้ร้องเป็นบุตรบุญธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นเท่านั้น แม้บันทึกดังกล่าวมีข้อความว่า นาง ส.ได้รับเป็นมารดาของผู้ร้องด้วย ก็ไม่มีผลเป็นการรับผู้ร้องเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย เพราะการรับบุตรบุญธรรมจะมีผลตามกฎหมายเมื่อมีการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1585 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น เมื่อนาง ส.ไม่ได้จดทะเบียนรับผู้ร้องเป็นบุตรบุญธรรม ผู้ร้องจึงไม่ใช่บุตรบุญธรรมโดยชอบด้วยกฎหมายของนาง ส. และไม่ใช่ทายาทของนาง ส.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1922/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับบุตรบุญธรรมต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย การให้ความยินยอมของคู่สมรสไม่ถือเป็นการรับบุตรบุญธรรม
สามีผู้ตายได้จดทะเบียนรับผู้ร้องเป็นบุตรบุญธรรม ผู้ตายให้ความยินยอมและลงชื่อท้ายบันทึกทะเบียนการรับบุตรบุญธรรมว่าเป็นคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม สามีผู้ตายแต่ผู้เดียวจึงเป็นผู้จดทะเบียนรับผู้ร้องเป็นบุตรบุญธรรม แม้บันทึกดังกล่าวจะมีข้อความว่าผู้ตายได้รับเป็นมารดาผู้ร้องด้วย ก็ไม่เป็นการรับผู้ร้องเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย เมื่อผู้ตายมิได้จดทะเบียนรับผู้ร้องเป็นบุตรบุญธรรม ดังนี้ ผู้ร้องจึงไม่ใช่บุตรบุญธรรมของผู้ตาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1749/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงความคิดเห็นติชมโดยสุจริตต่อบุคคลและสถานบริการที่กระทำผิดกฎหมาย ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ทราบว่าไนท์คลับของโจทก์ที่ 2ยอมให้เด็กวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปมั่วสุมได้ จำเลยจึงเขียนข้อความตามที่โจทก์ฟ้องลงหนังสือพิมพ์ของจำเลย จำเลยเป็นประชาชนคนหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องย่อมติชมได้ อันเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ แม้ข้อความบางตอนจะเป็นการใช้ถ้อยคำที่ไม่สมควรและเกินเลยไปบ้างก็เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตต่อโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลที่จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่ผิดกฎหมาย อยู่ในความหมายของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(3) การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2534 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปิดอากรแสตมป์หลังมีคำพิพากษา ไม่อาจใช้เป็นหลักฐานได้ตามกฎหมาย
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 117 การขออนุญาตนำตราสารไปปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์จะต้องกระทำก่อนหรือในขณะที่ได้นำเอกสารนั้นมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งก่อนศาลชั้นต้นตัดสินชี้ขาด โจทก์นำสัญญากู้ยืมเงินไปเสียอากรและเงินเพิ่มภายหลังที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1342/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องขัดทรัพย์ซ้ำในประเด็นที่ศาลเคยวินิจฉัยแล้ว เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามกฎหมาย
ผู้ร้องเคยฟ้องคดีแพ่งที่ศาลชั้นต้นว่าที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท ผู้ร้องเป็นทายาทจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวดังกล่าวร่วมกับจำเลย โจทก์คดีนี้รับจำนองทรัพย์ดังกล่าวไว้โดยไม่สุจริต จึงขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมจำนอง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยคดีนี้เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทที่จำนองแต่ผู้เดียว ซึ่งเท่ากับวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีว่าทรัพย์ที่จำนองมิใช่ของผู้ร้อง การที่ผู้ร้องมาร้องขัดทรัพย์ในคดีนี้ในขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โดยอ้างว่าที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นของผู้ร้อง จึงเป็นการขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นเดียวกันกับที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้แล้วดังกล่าวมา การร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 129/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยการส่งมอบรถคืน ถือเป็นการเลิกสัญญาทันทีตามกฎหมาย
เมื่อจำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อกลับคืนให้แก่โจทก์แล้วถือว่าจำเลยบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ ดังนั้น ไม่ว่าการแปลงหนี้ใหม่ระหว่างโจทก์กับจำเลย จะทำถูกต้องหรือไม่ สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยก็เป็นอันเลิกกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 573.