พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4970/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาประเด็นใหม่ที่ไม่เคยอุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์ เป็นการไม่ชอบตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำเลยให้การรับสารภาพ และศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยอุทธรณ์เพียงขอให้ลงโทษสถานเบา ข้อที่ว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำเลยมิได้อุทธรณ์ การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อเสพ เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่เป็นการไม่ชอบ ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 15 แห่ง ป.วิ.อ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4947/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตสิทธิอุทธรณ์-ฎีกาคำสั่งอายัดชั่วคราวก่อนพิพากษา และความสัมพันธ์ของคำฟ้อง-ฟ้องแย้ง
ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า คดีมีเหตุอันสมควรที่จะให้ถอนหมายอายัดที่ศาลได้ออกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 258 ในกรณีฉุกเฉินตามคำขอของโจทก์นั้น คดีนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดสิทธิเรียกร้องเงินที่จำเลยที่ 1 มีต่อบริษัท อ. ไม่ใช่สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 2 และที่ 3ในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่มีส่วนได้เสียในคำสั่งดังกล่าว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ถอนหมายอายัดและไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนจากคำสั่งยกคำร้องขอให้ถอนหมายอายัด จำเลยที่ 2 และที่ 3 จีงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว จำเลยที่ 2 ก็ชอบที่จะฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่าตนมีสิทธิยื่นคำร้องขอถอนหมายอายัด จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอถอนหมายอายัด แต่จำเลยที่ 2 ก็มิได้ฎีกา คดีจึงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอถอนหมายอายัดปัญหาตามฎีกาข้างต้นในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ส่วนจำเลยที่ 3 ปรากฏว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้ร่วมยื่นคำร้องขอให้ถอนหมายอายัดด้วย คงมีแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เท่านั้นเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้ถอนหมายอายัดเมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้องของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ขอให้ถอนหมายอายัด จำเลยที่ 3ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์เนื่องจากมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามลำดับชั้นศาล การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 เป็นการไม่ชอบ จำเลยที่ 3ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาจำเลยที่ 2 และที่ 3
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้อายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1ชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยฉุกเฉิน โดยวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์มีเหตุเพียงพอกรณีมีเหตุฉุกเฉิน จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่ง เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยื่นอุทธรณ์ คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงถึงที่สุด ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่าข้ออ้างของโจทก์ไม่มีเหตุเพียงพอจึงเป็นการโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยุติไปแล้ว ทั้งไม่ใช่เหตุที่จะนำมาพิจารณาคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ถอนหมายอายัดชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินได้
ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ตั้งสิทธิเรียกร้องจากมูลละเมิดกล่าวหาว่า โจทก์ร้องขอให้ศาลนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้บังคับโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อกลั่นแกล้งจำเลยที่ 1 ให้ได้รับความเสียหาย มิได้เกี่ยวข้องกับคำฟ้องของโจทก์ที่ฟ้องเรียกค่าสินค้าที่จำเลยทั้งสามซื้อเชื่อสินค้าไปจากโจทก์แล้วไม่ชำระราคา ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เช่นนี้จึงเป็นคนละเรื่องกับคำฟ้องของโจทก์ ไม่เกี่ยวข้องกันพอที่จะนำมารวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้อายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1ชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยฉุกเฉิน โดยวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์มีเหตุเพียงพอกรณีมีเหตุฉุกเฉิน จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่ง เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยื่นอุทธรณ์ คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงถึงที่สุด ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่าข้ออ้างของโจทก์ไม่มีเหตุเพียงพอจึงเป็นการโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยุติไปแล้ว ทั้งไม่ใช่เหตุที่จะนำมาพิจารณาคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ถอนหมายอายัดชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินได้
ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ตั้งสิทธิเรียกร้องจากมูลละเมิดกล่าวหาว่า โจทก์ร้องขอให้ศาลนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้บังคับโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อกลั่นแกล้งจำเลยที่ 1 ให้ได้รับความเสียหาย มิได้เกี่ยวข้องกับคำฟ้องของโจทก์ที่ฟ้องเรียกค่าสินค้าที่จำเลยทั้งสามซื้อเชื่อสินค้าไปจากโจทก์แล้วไม่ชำระราคา ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เช่นนี้จึงเป็นคนละเรื่องกับคำฟ้องของโจทก์ ไม่เกี่ยวข้องกันพอที่จะนำมารวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4939/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้ออ้างใหม่ในฎีกา: ห้ามฎีกาเรื่องที่มิได้ยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
การที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 สั่งซื้อน้ำมันจากโจทก์เป็นการส่วนตัวมิได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าน้ำมันให้แก่โจทก์ โดยยกเหตุผลที่มิได้ให้การต่อสู้ไว้ ข้ออ้างดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4939/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้ออ้างใหม่ในฎีกาที่ไม่เคยยกขึ้นว่ากันในศาลล่าง ถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่จำเลยที่1ฎีกาว่าจำเลยที่2สั่งซื้อน้ำมันจากโจทก์เป็นการส่วนตัวมิได้รับมอบหมายจากจำเลยที่1จำเลยที่1จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าน้ำมันให้แก่โจทก์โดยยกเหตุผลที่มิได้ให้การต่อสู้ไว้ข้ออ้างดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4931-4933/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาเรื่องการมอบอำนาจ และการครอบครองปรปักษ์เป็นเหตุให้ได้กรรมสิทธิ์
จำเลยที่4และที่5ให้การแต่เพียงว่าจำเลยไม่เคยทำสัญญาเช่าที่ดินกับโจทก์และโจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินขึ้นเองโดยไม่สุจริตเท่านั้นจำเลยที่4และที่5หาได้ให้การว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมอบอำนาจให้ช. เป็นตัวแทนของโจทก์เพื่อทำสัญญาเช่าที่พิพาทและกรณีไม่อาจแปลความได้ว่าจำเลยที่4และที5ได้ให้การต่อสู้คดีในปัญหาข้อนี้ไว้แล้วถือได้ว่าปัญหาดังกล่าวจำเลยที่4และที5ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นทั้งมิได้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามมาตรา249แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทซึ่งให้จำเลยเช่าต่อมาไม่ประสงค์ให้จำเลยที่4และที่5และที่6อยู่ในที่ดินดังกล่าวขอให้บังคับจำเลยออกจากที่พิพาทจำเลยให้การว่าจำเลยที่4ที่5และที่6ครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนได้กรรมสิทธิ์แล้วการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและพิพากษาว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์จึงตรงตามประเด็นที่ว่าจำเลยแต่ละคนได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382หรือไม่แล้วหาขัดต่อมาตรา142แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4814/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในประเด็นค่าเสียหาย: ศาลจำกัดการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 200,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่ารักษาพยาบาลจำนวน 52,531 บาท ค่าขาดรายได้จากการทำงานจำนวน 40,000บาท ค่าพาหนะเดินทางจำนวน 10,000 บาท ค่าผ่าตัดรักษาเท้าจำนวน 15,000บาท และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานจำนวน 200,000 บาทรวมเป็นเงิน 317,531 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายอันเป็นข้อเท็จจริงว่า ค่าพาหนะเดินทางไม่ควรเกิน 4,000 บาท ค่าผ่าตัดรักษาเท้าไม่ควรกำหนดให้ และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานไม่ควรเกิน40,000 บาท ดังนั้น ทุนทรัพย์ที่ยังพิพาทกันในชั้นฎีกามีจำนวน 181,000 บาทและเมื่อรวมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องแล้วรวมเป็นเงิน 194,575 บาท ไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4814/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากข้อพิพาทในชั้นฎีกามีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่ารักษาพยาบาลจำนวน 52,531 บาท ค่าขาดรายได้จากการทำงานจำนวน 40,000 บาทค่าพาหนะเดินทางจำนวน 10,000 บาท ค่าผ่าตัดรักษาเท้าจำนวน 15,000บาท และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานจำนวน 200,000 บาทรวมเป็นเงิน 317,531 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายอันเป็นข้อเท็จจริงว่า ค่าพาหนะเดินทางไม่ควรเกิน 4,000 บาท ค่าผ่าตัดรักษาเท้าไม่ควรกำหนดให้ และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานไม่ควรเกิน 40,000 บาท ดังนั้นทุนทรัพย์ที่ยังพิพาทกันในชั้นฎีกามีจำนวน 181,000 บาท และเมื่อรวมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องแล้วรวมเป็นเงิน 194,575 บาท ไม่เกิน200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4814/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องค่าเสียหายในส่วนที่ต่ำกว่า 200,000 บาท ตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่ารักษาพยาบาลจำนวน52,531บาทค่าขาดรายได้จากการทำงานจำนวน40,000บาทค่าพาหนะเดินทางจำนวน10,000บาทค่าผ่าตัดรักษาเท้าจำนวน15,000บาทและค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานจำนวน200,000บาทรวมเป็นเงิน317,531บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยที่2ฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายอันเป็นข้อเท็จจริงว่าค่าพาหนะเดินทางไม่ควรเกิน4,000บาทค่าผ่าตัดรักษาเท้าไม่ควรกำหนดให้และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานไม่ควรเกิน40,000บาทดังนั้นทุนทรัพย์ที่ยังพิพาทกันในชั้นฎีกามีจำนวน181,000บาทและเมื่อรวมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องแล้วรวมเป็นเงิน194,575บาทไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4774/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 กรณีคดีขับไล่และบังคับคดี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างกับขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์อันเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆออกจากอสังหาริมทรัพย์แม้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องเดิมเดือนละหนึ่งหมื่นบาทก็ตามแต่ตามคำฟ้องได้ความว่าที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในชนบทมีเนื้อที่เพียง300ตารางวาใช้ปลูกเรือนอยู่อาศัยและปลูกพืชผักมิใช่อยู่ในทำเลการค้าอันจะทำให้ได้ค่าเช่าที่ดินสูงเป็นพิเศษแต่อย่างใดตามลักษณะและสภาพแห่งที่ดินดังกล่าวถือได้ว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทคู่ความในคดีฟ้องขับไล่เดิมนั้นจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสองเมื่อคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับผู้ร้องซึ่งเป็นบริวารของจำเลยผู้ถูกฟ้องขับไล่และศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ว่าศาลจะฟังว่าผู้ร้องสามารถแสดงอำนาจพิเศษให้ศาลเห็นได้หรือไม่ก็ตามคดีก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสามที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินพิพาทมิใช่บริวารของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 470/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการยกข้ออ้างในชั้นฎีกา: ประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นในศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยที่ 2 จะให้การว่าโจทก์ไม่มีสิทธิรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยเนื่องจากผู้เอาประกันภัยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ให้ จำเลยที่ 2ก็ไม่ได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ จึงยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธี-พิจารณาความแพ่ง