พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,691 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2458/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิทางศาลย่อมไม่เป็นการละเมิด แม้จะทำให้การบังคับคดีล่าช้า
การปฏิบัติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือการใช้สิทธิฟ้องหรือต่อสู้คดีทางศาลรวมทั้งการอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไม่เป็นการทำละเมิด โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วและโจทก์ขอให้มีการบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดและเพิกถอนการบังคับคดีตลอดจนอุทธรณ์คำสั่งศาลในกรณีดังกล่าวการกระทำของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์บรรยายฟ้องไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ส่วนที่กรณีดังกล่าวทำให้การบังคับคดีต้องล่าช้าออกไปก็เป็นความจำเป็นซึ่งจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามที่กฎหมายบังคับไว้โจทก์จะอ้างเอาเป็นเหตุเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระยะเวลาบังคับคดีตามคำพิพากษา: การดำเนินการภายใน 10 ปี และความแตกต่างจากอายุความ
การร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา เจ้าหนี้ตามคำ-พิพากษาจะต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้ครบถ้วนภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 ดังนั้นหากเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษามาแล้วขายทอดตลาดได้เงินไม่คุ้มหนี้และโจทก์ประสงค์จะบังคับคดีอีก โจทก์จะแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้เพิ่มเติมเมื่อเกินกำหนดสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแล้วไม่ได้
ปัญหาในชั้นนี้เป็นข้อโต้เถียงเกี่ยวกับสิทธิในการบังคับคดีโดยตรงว่าโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาที่ ป.วิ.พ. มาตรา 271กำหนดไว้หรือไม่ อันเป็นระยะเวลาตามที่กฎหมายวิธีสบัญญัติกำหนดไว้โดยเฉพาะจึงไม่อาจนำบทบัญญัติในเรื่องอายุความตาม ป.พ.พ. ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติมาใช้บังคับแก่กรณีได้
ปัญหาในชั้นนี้เป็นข้อโต้เถียงเกี่ยวกับสิทธิในการบังคับคดีโดยตรงว่าโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาที่ ป.วิ.พ. มาตรา 271กำหนดไว้หรือไม่ อันเป็นระยะเวลาตามที่กฎหมายวิธีสบัญญัติกำหนดไว้โดยเฉพาะจึงไม่อาจนำบทบัญญัติในเรื่องอายุความตาม ป.พ.พ. ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติมาใช้บังคับแก่กรณีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมดสิทธิบังคับคดีหลัง 10 ปี แม้บังคับคดีบางส่วนไปแล้ว ประเด็นคือระยะเวลาตาม ป.วิ.พ.
โจทก์ได้บังคับคดีแก่ที่ดินจำนองของจำเลยออกขายทอดตลาด ได้เงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์บางส่วนเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2530 แล้ว แต่โจทก์เพิ่งร้องขอให้บังคับคดี แก่ทรัพย์สินของจำเลยเพิ่มเติมเพื่อบังคับชำระหนี้ตาม คำพิพากษาในส่วนที่เหลือเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2536จึงพ้นกำหนดระยะเวลาสิบปีนับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2524ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำพิพากษา โจทก์ย่อมหมดสิทธิบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยได้อีกต่อไป ปัญหาข้อโต้เถียงเกี่ยวกับสิทธิในการบังคับคดีว่าโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 กำหนดไว้หรือไม่อันเป็นระยะเวลาตามที่กฎหมายวิธีสารบัญญัติกำหนดไว้โดยเฉพาะ ไม่อาจนำบทบัญญัติในเรื่องอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติมาใช้ปรับแก่กรณีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ระยะเวลาบังคับคดี: การบังคับคดีต้องดำเนินการภายใน 10 ปีนับจากวันมีคำพิพากษา มิฉะนั้นสิทธิระงับ
การร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้ครบถ้วนภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271ดังนั้นหากเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษามาแล้วขายทอดตลาดได้เงินไม่คุ้มหนี้และโจทก์ประสงค์จะบังคับคดีอีกโจทก์จดแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้เพิ่มเติมเมื่อเกินกำหนดสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแล้วไม่ได้ ปัญหาในชั้นนี้เป็นข้อโต้เถียงเกี่ยวกับสิทธิในการบังคับคดีโดยตรงว่าโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271กำหนดไว้หรือไม่อันเป็นระยะเวลาตามที่กฎหมายวิธีสบัญญัติกำหนดไว้โดยเฉพาะจึงไม่อาจนำบทบัญญัติในเรื่องอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติมาใช้บังคับแก่กรณีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารหลักฐานการยืมเงินต้องมีลายมือชื่อผู้ยืมจึงใช้บังคับคดีได้
เอกสารที่จำเลยเขียนมีข้อความว่า "วันที่ 11 กันยายน 2528วัฒนา สุขสำราญ ได้ยืมเงินพี่ดาหกหมื่นบาทถ้วน" ถือไม่ได้ว่าชื่อจำเลยที่เขียนไว้เป็นการลงลายมือชื่อ เมื่อเอกสารไม่มีลายมือชื่อของจำเลยลงไว้ในฐานะเป็นผู้ยืมจึงไม่เป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมที่จะใช้ฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ ตามความมุ่งหมายของ ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารหลักฐานกู้ยืมต้องมีลายมือชื่อผู้ยืม จึงใช้ฟ้องร้องบังคับคดีได้
แม้จำเลยเบิกความรับว่าจำเลยเป็นผู้เขียนข้อความในเอกสารด้วยตนเองว่าจำเลยได้ยืมเงินโจทก์หกหมื่นบาทถ้วนแต่เมื่อเอกสารไม่มีลายมือชื่อจำเลยลงไว้เป็นผู้ยืมก็ถือไม่ได้ว่าชื่อจำเลยที่เขียนไว้เป็นการลงลายมือชื่อของจำเลยตามความหมายของมาตรา653วรรคหนึ่งแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงใช้เอกสารดังกล่าวฟ้องร้องบังคับคดีแก่จำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1900/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กระบวนการบังคับคดีและการดำเนินคดีในชั้นร้องขัดทรัพย์: การขาดนัดยื่นคำให้การและการทิ้งฟ้อง
โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยขายทอดตลาดเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นร้องขัดทรัพย์ซึ่ง ป.วิ.พ. มาตรา 288 วรรคสอง ให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดคดีเหมือนอย่างคดีธรรมดา โดยโจทก์ร่วมมีฐานะเป็นจำเลย โจทก์หาใช่ผู้ร้องขอให้บังคับคดีจึงไม่มีฐานะเป็นจำเลย ดังนั้น แม้ศาลจะมีคำสั่งในคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ให้โจทก์ให้การแก้คดี แต่เมื่อโจทก์ร่วมซึ่งมีฐานะเป็นจำเลยได้ให้การแก้คดีแล้ว จึงมิใช่กรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคแรก ผู้ร้องในฐานะโจทก์ไม่จำต้องยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่า โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคสอง หาได้ไม่
การที่ศาลมีคำสั่งในคำให้การโจทก์ร่วมแต่เพียงว่า "รอฟังโจทก์จำเลยก่อน" เท่านั้น มิได้กำหนดให้ผู้ร้องดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรและได้ส่งคำสั่งโดยชอบ จะถือว่าผู้ร้องทิ้งฟ้องและจำหน่ายคดีตาม ป.วิ.พ.มาตรา 132 หาได้ไม่
การที่ศาลมีคำสั่งในคำให้การโจทก์ร่วมแต่เพียงว่า "รอฟังโจทก์จำเลยก่อน" เท่านั้น มิได้กำหนดให้ผู้ร้องดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรและได้ส่งคำสั่งโดยชอบ จะถือว่าผู้ร้องทิ้งฟ้องและจำหน่ายคดีตาม ป.วิ.พ.มาตรา 132 หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1900/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องขัดทรัพย์บังคับคดี: สถานะคู่ความ, การขาดนัดยื่นคำให้การ, และการจำหน่ายคดี
โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยขายทอดตลาดเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาขั้นร้องขัดทรัพย์ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา288วรรคสองให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดคดีเหมือนอย่างคดีธรรมดาโดยโจทก์ร่วมมีฐานะเป็นจำเลยโจทก์หาใช่ผู้ร้องขอให้บังคับคดีจึงไม่มีฐานะเป็นจำเลยดังนั้นแม้ศาลจะมีคำสั่งในคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ให้โจทก์ให้การแก้คดีแต่เมื่อโจทก์ร่วมซึ่งมีฐานะเป็นจำเลยได้ให้การแก้คดีแล้วจึงมิใช่กรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา198วรรคแรกผู้ร้องในฐานะโจทก์ไม่จำต้องยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา198วรรคสองหาได้ไม่ การที่ศาลมีคำสั่งในคำให้การโจทก์ร่วมแต่เพียงว่า"รอฟังโจทก์จำเลยก่อน"เท่านั้นมิได้กำหนดให้ผู้ร้องดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรและได้ส่งคำสั่งโดยชอบจะถือว่าผู้ร้องทิ้งฟ้องและจำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา132หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1806/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับชำระค่าปรับ: ศาลเลือกใช้วิธียึดทรัพย์สินแล้ว การออกหมายกักขังเป็นการผิดพลาด ไม่กระทบการบังคับคดี
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา29มีเจตนารมณ์ให้ผู้ต้องโทษปรับชำระค่าปรับส่วนการบังคับให้ชำระค่าปรับจะใช้วิธียึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับหรือวิธีกักขังแทนค่าปรับอยู่ที่ศาลจะเลือกใช้ตามรูปคดีส่วนที่กฎหมายบัญญัติว่าถ้าศาลเห็นเหตุอันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับศาลจะเรียกประกันหรือจะสั่งให้กักขังผู้นั้นแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้นั้นเป็นเพียงการกำหนดมาตรการชั่วคราวก่อนดำเนินการตามวิธีที่ศาลเลือกใช้เท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นเลือกใช้วิธียึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับการที่ศาลชั้นต้นออกหมายกักขังเมื่อคดีถึงที่สุดให้กักขังจำเลยที่2แทนค่าปรับจึงเป็นการออกหมายผิดพลาดหาใช่ศาลชั้นต้นเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมเป็นให้กักขังจำเลยที่2แทนค่าปรับหมายกักขังเมื่อคดีถึงที่สุดดังกล่าวไม่มีผลลบล้างคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับจำเลยที่2จึงไม่ใช่ผู้ต้องกักขังแทนค่าปรับอันเป็นผู้ต้องกักขังซึ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1793/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และผลของการส่งมอบเอกสารไม่ครบถ้วน/พ้นวิสัย
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองคดีนี้มีใจความเพียงว่า จำเลยทั้งสองยอมโอนใบอนุญาตโรงเรียนและเอกสารเกี่ยวกับกิจการโรงเรียนให้แก่โจทก์กับยอมออกจากทรัพย์มรดกภายใน 15 วัน หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ยอมให้บังคับคดีได้ทันที และหากไม่ยอมโอนใบอนุญาตและเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับกิจการโรงเรียน ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง หรือให้ศาลมีคำสั่งบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง หาได้มีข้อความว่า ถ้าจำเลยทั้งสองส่งมอบเอกสารให้โจทก์ไม่ครบถ้วนจำเลยทั้งสองต้องชำระเงินจำนวน 3,000,000 บาท แก่โจทก์ เป็นการชดใช้ค่าเสียหายด้วยเลยเช่นนี้ หากโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองส่งมอบเอกสารให้แก่โจทก์ไม่ครบถ้วนอันเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้บังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองเพื่อให้จำเลยทั้งสองส่งมอบเอกสารให้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น หามีสิทธิขอให้บังคับจำเลยทั้งสองนำเงินจำนวน 3,000,000 บาท มาวางศาลเพื่อชดใช้เป็นค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วยไม่ เพราะเพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะขอให้บังคับคดีนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำพิพากษาหรือคำสั่งหาได้ไม่
เอกสารเกี่ยวกับกิจการโรงเรียนที่จำเลยทั้งสองจะต้องส่งมอบให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความสูญหายไป การส่งมอบเอกสารพิพาทจึงกลายเป็นพ้นวิสัย ศาลย่อมไม่อาจบังคับให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้ส่งเอกสารพิพาทนั้นได้
เอกสารเกี่ยวกับกิจการโรงเรียนที่จำเลยทั้งสองจะต้องส่งมอบให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความสูญหายไป การส่งมอบเอกสารพิพาทจึงกลายเป็นพ้นวิสัย ศาลย่อมไม่อาจบังคับให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้ส่งเอกสารพิพาทนั้นได้