คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ลงโทษ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,439 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 747/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดอาวุธปืน: การลงโทษฐานมีส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน
พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7 บัญญัติห้ามมิให้ทำหรือมีไว้ซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ ผู้ฝ่าฝืนให้ลงโทษตามมาตรา 72 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2501 มาตรา 3 วิเคราะห์ศัพท์คำว่า 'อาวุธปืน'หมายความรวมตลอดถึงอาวุธปืนทุกชนิด ฯลฯ และส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธปืนนั้นๆ ซึ่งรัฐมนตรีเห็นว่าสำคัญและได้ระบุไว้ในกฎกระทรวง วิเคราะห์ศัพท์คำว่า 'เครื่องกระสุนปืน'หมายความรวมตลอดถึงหัวกระสุนโดด กระสุนปราย กระสุนแตก ฯลฯหรือเครื่อง หรือสิ่งสำหรับอัด หรือทำ หรือใช้ประกอบเครื่องกระสุนปืน กฎกระทรวงฉบับที่ 3 (พ.ศ.2491) กำหนดว่า ส่วนของอาวุธปืนที่จะกล่าวต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นอาวุธปืน คือลำกล้อง เครื่องลั่นไก หรือส่วนประกอบสำคัญของเครื่องลั่นไกพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2510 มาตรา 3 บัญญัติให้ใช้ความต่อไปนี้แทน มาตรา 72(วรรคหนึ่ง) ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 3 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 10,000 บาท (วรรคสอง) ถ้าการฝ่าฝืนตามวรรคหนึ่งเป็นเพียงกรณีเกี่ยวกับส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธปืน ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ. ดังนี้ ข้อกฎหมายที่จะลงโทษจำเลยจึงมี 2 ประการประการแรกเกี่ยวกับอาวุธปืนประการหลังเกี่ยวกับเครื่องกระสุนปืน ซึ่งจะต้องวางโทษตามมาตรา 72วรรคสอง วรรคหนึ่ง ตามลำดับและลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 72 วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 747/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดอาวุธปืน: การลงโทษฐานมีส่วนหนึ่งของอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พิจารณาโทษตามบทหนักที่สุด
พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7 บัญญัติห้ามมิให้ทำหรือมีไว้ซึ่งอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืน. เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ ผู้ฝ่าฝืนให้ลงโทษตามมาตรา72. พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2501 มาตรา 3 วิเคราะห์ศัพท์คำว่า 'อาวุธปืน'หมายความรวมตลอดถึงอาวุธปืนทุกชนิด ฯลฯ และส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธปืนนั้นๆ ซึ่งรัฐมนตรีเห็นว่าสำคัญ. และได้ระบุไว้ในกฎกระทรวง วิเคราะห์ศัพท์คำว่า 'เครื่องกระสุนปืน'หมายความรวมตลอดถึงหัวกระสุนโดด กระสุนปลาย กระสุนแตก ฯลฯหรือเครื่อง หรือสิ่งสำหรับอัด หรือทำ หรือใช้ประกอบเครื่องกระสุนปืน. กฎกระทรวงฉบับที่ 3(พ.ศ.2491) กำหนดว่า ส่วนของอาวุธปืนที่จะกล่าวต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นอาวุธปืน คือลำกล้อง เครื่องลั่นไก หรือส่วนประกอบสำคัญของเครื่องลั่นไก. พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2510 มาตรา 3 บัญญัติให้ใช้ความต่อไปนี้แทน มาตรา 72(วรรคหนึ่ง) ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 3 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 10,000 บาท (วรรคสอง). ถ้าการฝ่าฝืนตามวรรคหนึ่งเป็นเพียงกรณีเกี่ยวกับส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธปืน ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี. หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท.หรือทั้งจำทั้งปรับ. ดังนี้ ข้อกฎหมายที่จะลงโทษจำเลยจึงมี 2 ประการ. ประการแรกเกี่ยวกับอาวุธปืนประการหลังเกี่ยวกับเครื่องกระสุนปืน. ซึ่งจะต้องวางโทษตามมาตรา 72 วรรคสอง วรรคหนึ่ง ตามลำดับ. และลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 72 วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลกระทบของการยกฟ้องในข้อหาหลักต่อการลงโทษในความผิดอื่นที่จำเลยให้การรับสารภาพ
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาพยายามฆ่าและมีอาวุธปืนผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำผิดทั้งสองฐาน แต่ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าอันเป็นกระทงหนัก จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อหาฐานพยายามฆ่า แต่ในระหว่างพิจารณาศาลอุทธรณ์มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2510 ออกมา ให้ผู้มีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาตไปขอรับอนุญาตภายใน 90 วัน โดยไม่ต้องรับโทษ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องทั้งสองข้อหา และโจทก์ฎีกาคัดค้านขึ้นมา ดังนี้ แม้ความผิดฐานมีอาวุธปืนจะถึงที่สุดแล้ว แต่โดยเหตุที่ศาลฎีกายกฟ้องฐานพยายามฆ่า เมื่อจะลงโทษความผิดฐานมีอาวุธปืน ซึ่งศาลชั้นต้นมิได้กำหนดโทษฐานนี้ไว้ คดีก็ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ซึ่งบัญญัติว่าแม้คดีถึงที่สุดแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น จึงเป็นอันว่าศาลฎีกาจะกำหนดโทษให้ลงแก่จำเลยในความผิดฐานนี้อีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลกระทบการยกฟ้องฐานพยายามฆ่าต่อการลงโทษฐานมีอาวุธปืนผิดกฎหมาย ศาลต้องใช้ประมวลกฎหมายอาญา ม.2
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาพยายามฆ่าและมีอาวุธปืนผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำผิดทั้งสองฐานแต่ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าอันเป็นกระทงหนัก จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อหาฐานพยายามฆ่า แต่ในระหว่างพิจารณาศาลอุทธรณ์มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2510 ออกมาให้ผู้มีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาตไปขอรับอนุญาตภายใน90 วัน โดยไม่ต้องรับโทษ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องทั้งสองข้อหา และโจทก์ฎีกาคัดค้านขึ้นมาดังนี้ แม้ความผิดฐานมีอาวุธปืนจะถึงที่สุดแล้วแต่โดยเหตุที่ศาลฎีกายกฟ้องฐานพยายามฆ่าเมื่อจะลงโทษความผิดฐานมีอาวุธปืนซึ่งศาลชั้นต้นมิได้กำหนดโทษฐานนี้ไว้ คดีก็ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ซึ่งบัญญัติว่าแม้คดีถึงที่สุดแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้นจึงเป็นอันว่าศาลฎีกาจะกำหนดโทษให้ลงแก่จำเลยในความผิดฐานนี้อีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลกระทบของการยกฟ้องในความผิดฐานพยายามฆ่าต่อการลงโทษความผิดฐานมีอาวุธปืนที่ศาลชั้นต้นได้ลงโทษแล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาพยายามฆ่าและมีอาวุธปืนผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง. ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำผิดทั้งสองฐาน.แต่ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าอันเป็นกระทงหนัก. จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อหาฐานพยายามฆ่า. แต่ในระหว่างพิจารณาศาลอุทธรณ์มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2510 ออกมา.ให้ผู้มีอาวุธปืนโดย.ไม่.รับอนุญาตไปขอรับอนุญาตภายใน90 วัน. โดยไม่ต้องรับโทษ. เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องทั้งสองข้อหา. และโจทก์ฎีกาคัดค้านขึ้นมา. ดังนี้ แม้ความผิดฐานมีอาวุธปืนจะถึงที่สุดแล้ว. แต่โดยเหตุที่ศาลฎีกายกฟ้องฐานพยายามฆ่า. เมื่อจะลงโทษความผิดฐานมีอาวุธปืน. ซึ่งศาลชั้นต้นมิได้กำหนดโทษฐานนี้ไว้ คดีก็ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ซึ่งบัญญัติว่าแม้คดีถึงที่สุดแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น. จึงเป็นอันว่าศาลฎีกาจะกำหนดโทษให้ลงแก่จำเลยในความผิดฐานนี้อีกไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 247/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วันเวลาในคำฟ้องไม่เป็นสาระสำคัญ หากพิสูจน์ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามสาระสำคัญของคำฟ้อง ศาลลงโทษได้
ฟ้องว่าเหตุเกิดวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2510 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าเหตุเกิดวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2510ข้อเท็จจริงจึงต่างกับฟ้องแต่วันเวลาในคำฟ้องไม่เป็นสารสำคัญของคำฟ้องเป็นแต่เพียงรายละเอียดเพื่อให้จำเลยเข้าใจข้อหาเท่านั้นและทั้งจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้เพราะจำเลยให้การรับสารภาพหากทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามสารสำคัญของคำฟ้องแล้วศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้(อ้างฎีกาที่ 926/2510)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 247/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วันเวลาในฟ้องไม่เป็นสาระสำคัญ หากพิสูจน์ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามสาระสำคัญของฟ้อง ศาลลงโทษได้
ฟ้องว่าเหตุเกิดวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2510 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าเหตุเกิดวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2510.ข้อเท็จจริงจึงต่างกับฟ้อง. แต่วันเวลาในคำฟ้องไม่เป็นสารสำคัญของคำฟ้อง. เป็นแต่เพียงรายละเอียดเพื่อให้จำเลยเข้าใจข้อหาเท่านั้น. และทั้งจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้.เพราะจำเลยให้การรับสารภาพ. หากทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามสารสำคัญของคำฟ้องแล้ว. ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้.(อ้างฎีกาที่ 926/2510).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1404/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หลักฐานฟังไม่พอลงโทษคดีลักทรัพย์ จำเป็นต้องมีพยานรู้เห็นการกระทำผิด
โจทก์ไม่ได้ตัวผู้ที่รู้เห็นว่าจำเลยทำผิดมาสืบในชั้นศาล คงมีแต่บันทึกถ้อยคำของพยานปากนั้นในชั้นสอบสวนส่งเป็นพยานเท่านั้น ส่วนพยานอื่นของโจทก์ก็ไม่มีผู้ใดรู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำของจำเลย พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1002/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษความผิดหลายกรรมต่างกัน: ฆ่าและพยายามฆ่า ศาลลงโทษเฉพาะกระทงหนักสุดได้ตามมาตรา 91
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เป็นเรื่องกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลจะลงโทษผู้กระทำผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป หรือจะลงโทษเฉพาะกระทงที่หนักที่สุดก็ได้
จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และพยายามฆ่าผู้เสียหาย ถือว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1002/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษฐานฆ่าและพยายามฆ่า: ศาลพิจารณาความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา 91
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เป็นเรื่องกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลจะลงโทษผู้กระทำผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป หรือจะลงโทษเฉพาะกระทงที่หนักที่สุดก็ได้
จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และพยายามฆ่าผู้เสียหายถือว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรม
of 144