พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6538/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการทำร้ายร่างกาย: พิจารณาจากลักษณะการลงมือและเหตุจูงใจ
มีดพร้าของกลางเป็นมีดสำหรับใช้มือทั้งสองจับเพราะด้ามมีดยาว 14 นิ้ว แต่เก้าอี้ไม้สักที่ถูกจำเลยฟันเป็นรอยถากเนื้อไม้หายไปเล็กน้อยแสดงว่าจำเลยจับมีดพร้าของกลางด้วยมือข้างเดียวและฟันไม้แรงนัก อีกทั้งจำเลยทะเลาะกับมารดา มิได้ทะเลาะกับผู้เสียหายเหตุที่จำเลยฟันผู้เสียหายก็เพราะผู้เสียหายเข้าไปขอมีดจากจำเลยจำเลยจึงฟันผู้เสียหายเพื่อระบายความโกรธนอกจากนี้เมื่อจำเลยฟันไม่ถูก จำเลยก็มิได้ฟันซ้ำอีก จนญาติพี่น้องเข้าแย่งมีดทำให้มีดหล่นจากมือจำเลย เช่นนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยฟันผู้เสียหายโดยมีเพียงเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6480/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่พยายามฆ่า ศาลใช้ดุลพินิจลงโทษตามความผิดที่พิจารณาได้
จำเลยมีปากเสียงกับผู้เสียหายเรื่องเขตที่ดิน เพราะผู้เสียหายไม่ยอมรับเรื่องเขตที่ดินที่จำเลยกล่าวหาว่าผู้เสียหายรุกล้ำ จำเลยจึงใช้ปืนสั้นเล็งยิงผู้เสียหายในระดับต่ำลงพื้นดินในระยะ 3 เมตร กระสุนปืนถูกต้นขาขวาด้านหน้าทะลุต้นขาซ้ายด้านใน กระดูกขาไม่ได้รับอันตราย แพทย์ลงความเห็นว่ารักษาบาดแผลประมาณ 10 วัน แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เพียงแต่มีเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า ศาลก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในการกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 และการกระทำของจำเลยไม่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6480/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. พยายามฆ่า: ศาลลดโทษจากพยายามฆ่าเป็นทำร้ายร่างกายตามพฤติการณ์
จำเลยมีปากเสียงกับผู้เสียหายเรื่องเขตที่ดิน เพราะผู้เสียหายไม่ยอมรับเรื่องเขตที่ดินที่จำเลยกล่าวหาว่าผู้เสียหายรุกล้ำจำเลยจึงใช้ปืนสั้นเล็งยิงผู้เสียหายในระดับต่ำลงพื้นดินในระยะ3 เมตร กระสุนปืนถูกต้นขาขวาด้านหน้าทะลุต้นขาซ้ายด้านในกระดูกขาไม่ได้รับอันตราย แพทย์ลงความเห็นว่ารักษาบาดแผลประมาณ 10 วัน แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เพียงแต่มีเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า ศาลก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในการกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และการกระทำของจำเลยไม่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6479/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะต้องมีเจตนา คดีนี้เป็นการกระทำโดยประมาทจึงไม่อยู่ในข่าย
การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะต้องเป็นการกระทำผิดโดยมีเจตนาเท่านั้น คดีนี้จำเลยกระทำความผิดโดยประมาท จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าเหตุคดีนี้เกิดขึ้นเพราะโจทก์ร่วมเปิดไฟส่องเข้าตาจำเลย ทำให้จำเลยโกรธและบันดาลโทสะจนควบคุมสติไม่ได้ อันเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะได้ อีกทั้งข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวก็หาใช่เป็นกรณีกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตามป.อ. มาตรา 72 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6479/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดโดยประมาทไม่อาจอ้างเป็นบันดาลโทสะได้ และการฟ้องคดีเกิน 72 ชั่วโมง
การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะต้องเป็นการกระทำผิดโดยมีเจตนาเท่านั้น คดีนี้จำเลยกระทำความผิดโดยประมาท จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าเหตุคดีนี้เกิดขึ้นเพราะโจทก์ร่วมเปิดไฟส่องเข้าตาจำเลย ทำให้จำเลยโกรธและบันดาลโทสะจนควบคุมสติไม่ได้ อันเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะได้ อีกทั้งข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวก็หาใช่เป็นกรณีกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6476/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: การกระทำหลังหลบหนีและการท้าทายคู่กรณี
หลังจากจำเลยและพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้านแล้วประมาณ 10 นาทีจำเลยจึงวิ่งขึ้นไปบนบ้านของ ม. และนำอาวุธปืนออกมายืนหน้าบ้านเพื่อจะขู่กลุ่มของผู้เสียหายให้กลับไป เมื่อผู้เสียหายถือมีดดาบและขวดจะเข้าทำร้ายจำเลยห่างประมาณ 3 เมตร จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มของผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลย เช่นนี้แสดงว่าจำเลยสมัครใจทะเลาะวิวาทกับกลุ่มของผู้เสียหาย เพราะขณะจำเลยกับพวกวิ่งหลบหนีเข้าบ้าน ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายหมดสิ้นไปแล้ว หากจำเลยไม่ประสงค์จะทะเลาะวิวาทอีกต่อไปจำเลยก็ไม่น่าจะนำอาวุธปืนออกมายืนอยู่หน้าบ้าน อันเป็นการท้าทายกลุ่มของผู้เสียหายซึ่งเป็นวัยรุ่น จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาการป้องกันตัวขึ้นมาอ้างเพื่อให้การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6445/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าโดยเจตนา แม้มีเหตุข่มเหงและบันดาลโทสะ แต่ไม่สามารถยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวได้
จำเลยเห็น ส. กับ บ.ซึ่งยืนอยู่ข้างประตูหลังรถคนละด้านกับคนขับ แต่ก็ยังใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงจ้องยิงไปที่รถยนต์ ขณะที่ บ.ซึ่งกำลังจะขึ้นรถยนต์ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลหรือคาดหมายได้ว่ากระสุนปืนซึ่งจำเลยยิงไป อาจถูก ส.หรือ ท.ซึ่งนั่งอยู่ภายในรถยนต์ได้ เมื่อกระสุนปืนที่จำเลยยิงไปถูก ส.เป็นเหตุให้ ส.ถึงแก่ความตายและ ท.ได้รับบาดเจ็บ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่า ท.โดยเจตนา แม้จะฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดขณะมึนเมาเพราะเสพสุราก็ตาม จำเลยก็จะยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวเพื่อไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้นไม่ได้ตาม ป.อ.มาตรา 66
ก่อนเกิดเหตุ บ.ซึ่งเป็นปลัดอำเภออาวุโสเคยข่มขู่จำเลยซึ่งเป็นปลัดอำเภอหลายครั้ง ในคืนเกิดเหตุ บ.เมาสุราขึ้นไปเรียกจำเลยบนบ้านขณะจำเลยเข้านอนแล้วและด่าจำเลยซึ่งออกมาพบว่า "ไอ้เหี้ย มึงซ่านักหรือ" แล้วยังได้ตบจำเลยอีกเช่นนี้ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทางรถเปอร์โยต์หลังจาก บ.เดินลงบันไดไปจนเกิดเหตุร้ายดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมและได้กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น เป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ.มาตรา 72
ก่อนเกิดเหตุ บ.ซึ่งเป็นปลัดอำเภออาวุโสเคยข่มขู่จำเลยซึ่งเป็นปลัดอำเภอหลายครั้ง ในคืนเกิดเหตุ บ.เมาสุราขึ้นไปเรียกจำเลยบนบ้านขณะจำเลยเข้านอนแล้วและด่าจำเลยซึ่งออกมาพบว่า "ไอ้เหี้ย มึงซ่านักหรือ" แล้วยังได้ตบจำเลยอีกเช่นนี้ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทางรถเปอร์โยต์หลังจาก บ.เดินลงบันไดไปจนเกิดเหตุร้ายดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมและได้กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น เป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ.มาตรา 72
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6250/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประพฤติเนรคุณและการหมิ่นประมาท: การพิจารณาเจตนาและพฤติการณ์ในการฟ้องร้อง
การที่โจทก์นำสืบว่านอกจากจำเลยพูดกับโจทก์ว่า "เป็นลูกหมา"แล้วยังพูดด้วยว่าโจทก์ "พูดจากลับกลอก" และ "พูดหมา ๆ" ด้วยนั้นแม้โจทก์จะนำสืบถ้อยคำที่พูดของจำเลยแตกต่างไปจากคำฟ้องบ้างแต่ถ้อยคำนั้นก็เป็นการกล่าวต่อเนื่องกับถ้อยคำที่จำเลยพูดว่าโจทก์ตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้อง กรณีจึงเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ ไม่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น แม้จำเลยจะกล่าววาจาหยาบคายไม่น่าฟังต่อหน้าโจทก์ซึ่งเป็นมารดา แต่ก็หาได้กล่าวดูหมิ่น หมิ่นประมาทว่าโจทก์เป็นหมาโดยตรงทั้งตามพฤติการณ์ที่โจทก์เคยตกลงจะแบ่งที่ดินปลูกบ้านให้จำเลยแล้วภายหลังกลับใจไม่ยกให้ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยเกิดโทสะพลุ่งพล่านผสมกับความน้อยใจ จึงได้กล่าววาจาประชดประชันด้วยอารมณ์หาใช่เจตนาทำให้โจทก์ต้องเสียชื่อเสียงหรือเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง กรณียังไม่ถึงขนาดที่จะฟังได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ผู้ให้ทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6248/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายมีผลเมื่อมีเจตนาทำสัญญา หากรับของเพื่อทดลองใช้ก่อนยังไม่ถือเป็นการซื้อขาย
จำเลยทั้งสองได้ให้การไว้แล้วว่า ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จึงไม่มีหนี้ซึ่งจะต้องชำระให้แก่โจทก์ ทั้งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 2 รับของไปจากโจทก์เพื่อทดลองใช้ดูก่อนหากเป็นที่พอใจจะได้ตกลงทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันในภายหลังจึงเป็นการนำสืบและวินิจฉัยในประเด็นโดยตรงว่า จำเลยทั้งสองเป็นคู่สัญญาซื้อขายตามที่โจทก์อ้างหรือไม่นั่นเอง กรณีหาใช่การรับฟังข้อเท็จจริงนอกประเด็นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6235/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในเครื่องหมายการค้า: การใช้ก่อนย่อมมีสิทธิเหนือกว่าการจดทะเบียนภายหลัง แม้ไม่มีเจตนาใช้
โจทก์คิดประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นอักษรโรมันคำว่าSunstar ทั้งที่เป็นคำตามลำพังและคำที่อยู่ในรูปสี่เหลี่ยมตัดแบ่งครึ่งโดยเส้นทะแยงมุมขึ้นในปี 2489 และใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับสินค้ายาสีฟันเมื่อปี 2489 แปรงสีฟันเมื่อปี 2496เครื่องสำอางและแชมพูเมื่อปี 2503 และต่อมาได้ใช้กับสินค้าของโจทก์ที่ส่งไปจำหน่ายยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย โจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทยเมื่อปี 2496และในประเทศอื่น ๆ อีก 16 ประเทศ ส่วนจำเลยได้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าทั้งสองแบบดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2522ในลักษณะที่เหมือนกันทุกประการ โดยที่ในขณะนั้นจำเลยยังไม่ได้ผลิตสินค้าใด ๆ ออกจำหน่าย ทั้งปรากฏว่าจำเลยหาได้มีวัตถุประสงค์ในการผลิตสินค้าประเภทแปรงสีฟันยาสีฟันและแชมพู ซึ่งเป็นสินค้าที่จำเลยขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแต่อย่างใดไม่ ที่จำเลยไปขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าทั้งสองแบบดังกล่าวก็มาจากการที่จำเลยเห็นเครื่องหมายการค้าซึ่งปรากฏอยู่ที่สินค้าของโจทก์ดังนี้ โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวมาก่อนจำเลยเป็นเวลา30 ปีเศษ โจทก์ย่อมมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านี้ดีกว่าจำเลยและขอให้เพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยได้