คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความผิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6,814 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2957/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิง การกระทำโดยรู้เห็นเป็นใจถือเป็นความผิดร่วม การอยู่ในเหตุการณ์โดยไม่ห้ามปรามไม่ถือเป็นความผิดร่วม
แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเพียงผู้เดียวที่ประสบเหตุการณ์รายนี้เป็นพยาน ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุเพียง13 ปีเศษ และกำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ทั้งไม่ปรากฏเคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน คำเบิกความของผู้เสียหายมีรายละเอียดลำดับเรื่องราวเชื่อมโยง กันสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถ้อยคำไม่มีข้อพิรุธให้ระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายจะนึกคิดเสริมแต่งเรื่องราวขึ้นมาปรักปรำผู้ใดให้ต้องรับโทษ ประกอบกับการที่ผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เสียหายต้องอับอายเสื่อมเสียต่อเกียรติยศชื่อเสียงของตนเองและวงศ์ตระกูล กรณีไม่มีเหตุผลที่ผู้เสียหายจะต้องกลั่นแกล้งกล่าวหาผู้ใดหากไม่เป็นความจริง อีกทั้งคำเบิกความของผู้เสียหายก็ตรงไปตรงมาตามความจริงที่ตนประสบจึงมีน้ำหนักรับฟัง นอกจากนี้โจทก์ยังมีเจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสี่เป็นพยานยืนยันว่า ในชั้นจับกุมพยานแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสี่ว่าร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การรับสารภาพจึงย่อมสนับสนุนถ้อยคำของผู้เสียหายให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้นและรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้ร่วมกันกระทำ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ประกอบมาตรา 83 ในระหว่างมีการกระทำความผิดคดีนี้ จำเลยที่ 3อยู่รู้เห็นเหตุการณ์เวลาที่จำเลยที่ 2 กับ ด.และป. ชวนกันจับขา ปิดตา และถอดกางเกงของผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 3 พูดห้ามไม่ให้ผู้เสียหายร้องพฤติกรรมของจำเลยที่ 3 แสดงว่าจำเลยที่ 3มีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วย แม้ต่อมาจำเลยที่ 1และ ป. จะเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตามลำพังแต่ละคนก็ตาม แต่สภาพของผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้แล้ว การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง จำเลยที่ 4 เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ขณะจำเลยที่ 1ถึงที่ 3 กระทำความผิดฐานร่วมกันโทรมเด็กหญิงเท่านั้นโดยจำเลยที่ 4 นั่งดมกาวอยู่บนรถสามล้อเครื่อง ภายในห้องเกิดเหตุ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 ได้กระทำการใดที่แสดงว่ามีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วยการที่จำเลยที่ 4 ไม่ได้พูดห้ามปรามผู้กระทำ ความผิดรายนี้ ซึ่งมีแต่พวกวัยรุ่นเพื่อของจำเลยที่ 4 รวม 5 คน เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองได้ พฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิดด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2886/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผลิตกัญชาและการครอบครองยาเสพติดเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
จำเลยผลิตกัญชาโดยการเพาะปลูกต้นกัญชาประมาณ 400 ต้นและมีกัญชาแห้งหนัก 12 กิโลกรัม กับเมล็ดกัญชาแห้ง 1 ถุงหนัก 1 กิโลกรัม ไว้ในครอบครอง ดังนี้เห็นได้ว่าเฉพาะแต่ต้นกัญชาจำนวน 25 ต้น เท่านั้น ที่ถือว่าเป็นผลที่เกิดจากการผลิตกัญชาโดยการปลูกของจำเลย แต่สำหรับกัญชาแห้งหนัก12 กิโลกรัม กับเมล็ดกัญชาแห้ง 1 ถุง หนัก 1 กิโลกรัมเมื่อไม่ปรากฏว่าคือส่วนหนึ่งของผลผลิตซึ่งเกิดจากต้นกัญชาที่จำเลยปลูก การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2874/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาต่างกัน ความผิด 2 กรรม: พรากเด็กหญิงเพื่ออนาจาร กับ ข่มขืนกระทำชำเรา
ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุ 14 ปีเศษ อยู่ในความปกครองดูแลของ ด.มารดา ตามวันและเวลาเกิดเหตุจำเลยพาผู้เสียหายไปโดยไม่ได้ขออนุญาตด.ก่อน และจำเลยพาผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราโดยมิได้มีเจตนาที่จะเลี้ยงดูผู้เสียหายหรืออยู่กินกันฉันสามีภริยา การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากมารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร และกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยเด็กหญิงนั้นไม่ยินยอม ดังนั้น แม้การกระทำของจำเลยดังกล่าวจะเป็นการกระทำต่อเนื่องในวันเดียวกันก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่าจำเลยได้กระทำไปโดยมีเจตนาต่างกันกล่าวคือ จำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายไปเสียจากมารดาผู้เสียหายเพื่อการอนาจารอันเป็นเจตนาที่กระทำต่อมารดาผู้เสียหาย ส่วนที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายเป็นเจตนาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันเป็นเจตนาต่างกันกับเจตนาพรากดังกล่าว จึงมิใช่การกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2874/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาต่างกัน พรากเด็กและข่มขืนเป็นความผิด 2 กรรม
ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุ 14 ปีเศษ อยู่ในความปกครองดูแลของ ด. มารดา ตามวันและเวลาเกิดเหตุจำเลยพาผู้เสียหายไปโดยไม่ได้ขออนุญาต ด.ก่อน และจำเลยพาผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราโดยมิได้เจตนาที่จะเลี้ยงดูผู้เสียหายหรืออยู่กินฉันสามีภริยา การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจาก มารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร และกระทำชำเรา เด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งไม่ใช่ภริยาของตนโดย เด็กหญิงนั้นไม่ยินยอม ดังนั้น แม้การกระทำของจำเลยดังกล่าวจะเป็นการกระทำต่อเนื่องในวันเดียวกันก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่าจำเลยได้กระทำไปโดยมีเจตนาต่างกัน กล่าวคือ จำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายไปเสียจากมารดาผู้เสียหายเพื่อการอนาจารอันเป็นเจตนาที่กระทำต่อมารดาผู้เสียหาย ส่วนที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายเป็นเจตนาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันเป็นเจตนาต่างกันกับเจตนาพรากดังกล่าว จึงมิใช่การกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด 2 กรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2825/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานรับทองคำหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ผู้กระทำผิดลักลอบนำเข้า
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปรับจำเลยเป็นเงินสี่เท่าของราคาของเป็นเงิน 27,126,838.64 บาท ริบของกลาง และให้จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับร้อยละสามสิบของราคาของกลางและจ่ายเงินรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมร้อยละสิบห้าของราคาของ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จ่ายสินบนร้อยละสามสิบและจ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของราคาของกลางที่ศาลสั่งริบตาม พ.ร.บ.ให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ.2489 มาตรา 7 และ 8 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการพิพากษาแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรก
การวินิจฉัยว่าผู้ใดกระทำผิดโดยรับไว้ซึ่งทองคำแท่ง ซึ่งผู้อื่นลักลอบนำหรือพาเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีตาม พ.ร.บ.ศุลกากรพ.ศ.2469 มาตรา 27 ทวิ หรือไม่นั้น เมื่อองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 27 ทวิเพียงแต่ผู้ใดเจตนารับไว้ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้าม หรือข้อจำกัดก็เป็นความผิดแล้ว ไม่จำเป็นต้องได้ข้อเท็จจริงชี้ชัดลงไปว่ามีผู้รู้เห็นว่าผู้นั้นกระทำผิดโดยลักลอบนำเข้าซึ่งทองคำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่เสียภาษีศุลกากรหรือไม่เสียก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2823/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารและเบียดบังเงินโดยทุจริต: การลงโทษกรรมเดียว
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสาร ดูแลรักษาเอกสารเกี่ยวกับการเงินและบัญชี ควบคุมดูแลเงินและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเงินทุกประเภทของโรงเรียน พ. จำเลยได้กรอกข้อความและลงลายมือชื่อของข้าราชการหลายคนในสัญญารับรองการยืมเงินว่า บุคคลเหล่านั้นยืมเงินค่าวัสดุอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายในกิจการของโรงเรียนอันเป็นความเท็จ และปลอมลายมือชื่อของผู้อำนวยการโรงเรียนกับพวกเป็นผู้อนุมัติให้ยืมเงิน อีกทั้งปลอมสัญญารับรองการยืมเงินของบุคคลดังกล่าวโดยเพิ่มเติมข้อความหรือแก้ไขตัวเลขให้สูงขึ้น แล้วเบียดบังเงินส่วนนั้นไปเป็นของตนโดยทุจริต จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 161 และ147 แต่การที่จำเลยปลอมและใช้เอกสารปลอมก็โดยมีเจตนาที่จะใช้เป็นหลักฐานในการเบียดบังเงินเป็นของตน การที่จำเลยเบียดบังเงินแต่ละครั้งจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 147 อันเป็นบทหนักที่สุดตามมาตรา 90
จำเลยกระทำความผิดรวม 36 กระทง เท่านั้น แต่การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยในความผิดตามมาตรา 147 และมาตรา 161เป็นความผิดหลายกรรมและพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 147 รวม 36 กระทงกับมาตรา 161 รวม 36 กระทงนั้นไม่ถูกต้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2767/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิด พ.ร.บ.เช็ค: การพิสูจน์หนี้ที่แท้จริง
องค์ประกอบความผิดตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ ช. แล้ว ช.นำเช็คพิพาทมามอบให้แก่โจทก์อีกต่อหนึ่งเมื่อมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์โดยตรง โจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ ช.เพื่อชำระหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งที่จำเลยมีต่อ ช. อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหากพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอฟังว่าจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ ช.เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2767/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเช็ค: จำเลยต้องพิสูจน์หนี้ระหว่างจำเลยกับผู้รับเช็คก่อน จึงจะถือว่าออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง
องค์ประกอบความผิดตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเท่านั้น เมื่อ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ ช.แล้วช.นำเช็คพิพาทมามอบให้แก่โจทก์อีกต่อหนึ่งเมื่อมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์โดยตรงโจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ ช. เพื่อชำระหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งที่จำเลยมีต่อช. อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหากพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอฟังว่าจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ช.เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายการกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2763/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเก็บรังนกอีแอ่นและทำลายรัง โดยใช้กฎหมายฉบับใหม่ที่บัญญัติโทษหนักกว่า
รังนกอีแอ่น ในถ้ำเป็นทรัพย์ไม่มีเจ้าของ แต่บุคคลอาจได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยเข้ายึดถือเอา การที่บริษัทผู้เสียหายได้รับอนุญาตให้เก็บรังนกอีแอ่น อันเป็นการผูกขาดจากรัฐบาล ผู้เสียหายมีสิทธิเพียงว่าถ้าประสงค์จะเก็บรังนกอีแอ่น ในถ้ำที่ผูกขาดย่อมมีสิทธิที่จะเข้าเก็บเอาได้ไม่ถูกหวงห้ามเสมือนบุคคลผู้ไม่ได้รับอนุญาต แต่จะมีกรรมสิทธิ์ได้ในรังนกอีแอ่น ยังจะต้องมีการเข้ายึดเอาอีกชั้นหนึ่งก่อนเมื่อผู้เสียหายยังมิได้เข้าถือเอารังนกอีแอ่น ตามมาตรา 1318แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ผู้เสียหายจึงมิได้ เป็นเจ้าของในรังนกรายพิพาทการเก็บรังนกอีแอ่น ดังกล่าว ของจำเลยทั้งสามกับพวกจึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ ของผู้เสียหาย ขณะเกิดเหตุการกระทำของจำเลยทั้งสามกับพวกเป็นความผิดฐานเข้าหรือขึ้นไปบนเกาะที่นกอีแอ่นทำรัง อยู่ ตามธรรมชาติแต่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้มีพระราชบัญญัติ อากรรังนกอีแอ่น พ.ศ. 2540 ยกเลิกพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น ฉบับเดิมทั้งหมด โดยไม่มีบทบัญญัติใดระบุการเข้าหรือขึ้นไปบนเกาะที่นกอีแอ่นทำรังอยู่ ตามธรรมชาติ จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้รับอนุญาตเก็บรังนกอีแอ่นหรืออาศัยอำนาจผู้ได้รับอนุญาตหรือเจ้าหน้าที่ของ รัฐบาลตามมาตรา 6 พระราชบัญญัติ ฉบับเดิมและไม่มีบทกำหนดโทษเช่นพระราชบัญญัติฉบับเดิม ถือได้ว่าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง การกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดจำเลยทั้งสามจึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2733/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานชิงทรัพย์ vs. พยายามชิงทรัพย์: การยึดถือทรัพย์สินยังไม่สำเร็จ
จำเลยใช้ลูกเหล็กของกลางทุบตีที่บริเวณใบหน้า ของผู้เสียหายที่ 1 แล้วกระชากสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายที่ 1สวมอยู่ที่คอจนขาด แต่สร้อยคอหลุดมือตกลงที่พื้นจำเลยที่ 1 ก้มลงเก็บ ผู้เสียหายที่ 1 ร้องขอความช่วยเหลือและเข้ากอดเอวและดึงเสื้อของจำเลยไว้ผู้เสียหายที่ 2 เข้ามาช่วย จำเลยสะบัดหลุด แล้ววิ่งหนีไป แม้ขณะสร้อยคอทองคำหลุดจากคอผู้เสียหายที่ 1สร้อยคอทองคำจะอยู่ที่มือจำเลยตอนกระชากก็เป็นการกระทำเพื่อมุ่งหมายจะให้สร้อยคอหลุดจากคอผู้เสียหายที่ 1 แต่หลังจากกระชากแล้วสร้อยคอหลุดจากมือจำเลยตกลงที่พื้นแล้วจำเลยยังไม่ทันยึดถือเอาสร้อยคอทองคำไป การที่จำเลยเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายที่ 1 ไปไม่ได้ก็เนื่องจากผู้เสียหายที่ 1กอดเอวและดึงเสื้อของจำเลยไว้โดยมีผู้เสียหายที่ 2เข้ามาช่วย เห็นได้ว่า จำเลยได้ลงมือกระทำความผิดแล้วแต่การยึดถือเอาสร้อยคอทองคำนั้นไปยังไม่บรรลุผลการกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์เท่านั้น
of 682