คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2007/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องกรณี คชก.วินิจฉัยสิทธิซื้อที่ดิน - จำเป็นต้องฟ้อง คชก.เป็นจำเลยเพื่อเพิกถอนคำวินิจฉัย
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอถอน ส.ทนายความโจทก์ร่วมและศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ดังนั้น เมื่อฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมลงชื่อ ส.เป็นผู้ฎีกา ซึ่งเป็นเพียงทนายความโจทก์เพียงผู้เดียว จึงต้องถือว่าโจทก์ร่วมไม่ได้ฎีกาด้วย
ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524มาตรา 57 เมื่อโจทก์ผู้เป็นคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดที่เห็นชอบตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ว่าโจทก์หมดสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอน โจทก์ก็ยังมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาล โดยฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด กับให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนได้ แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดดังกล่าวต้องฟ้อง คชก.จังหวัดเป็นจำเลยด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ คชก.จังหวัดได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของโจทก์ การที่โจทก์ไม่ฟ้อง คชก.จังหวัด คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดก็ยังไม่ถูกเพิกถอนและมีผลบังคับอยู่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องผู้รับโอนนาพิพาท ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดและให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนโดยลำพังได้ แต่การยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยเนื้อหาในประเด็นข้อพิพาทว่ามีอยู่จริงหรือไม่ จึงสมควรไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2007/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องต้องฟ้องหน่วยงานที่ออกคำวินิจฉัยด้วยก่อน หากต้องการเพิกถอนคำวินิจฉัยนั้น
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอถอน ส. ทนายความโจทก์ร่วมและศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ดังนั้น เมื่อฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมลงชื่อ ส. เป็นผู้ฎีกา ซึ่งเป็นเพียงทนายความโจทก์เพียงผู้เดียว จึงต้องถือว่าโจทก์ร่วมไม่ได้ฎีกาด้วย ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 57 เมื่อโจทก์ผู้เป็นคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดที่เห็นชอบตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล ว่าโจทก์หมดสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนโจทก์ก็ยังมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาล โดยฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด กับให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนได้ แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดดังกล่าวต้องฟ้อง คชก.จังหวัดเป็นจำเลยด้วยทั้งนี้เพื่อให้ คชก.จังหวัดได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของโจทก์การที่โจทก์ไม่ฟ้อง คชก.จังหวัด คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดก็ยังไม่ถูกเพิกถอนและมีผลบังคับอยู่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องผู้รับโอนนาพิพาท ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดและให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนโดยลำพังได้แต่การยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยเนื้อหาในประเด็นข้อพิพาทว่ามีอยู่จริงหรือไม่ จึงสมควรไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2007/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเพิกถอนคำวินิจฉัย คชก. ต้องฟ้อง คชก. เป็นจำเลยด้วย มิฉะนั้นขาดอำนาจฟ้อง
เมื่อโจทก์ผู้เป็นคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียไม่พอใจคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดปทุมธานีที่เห็นชอบตามคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลเชียงรากน้อยว่าโจทก์หมดสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนโจทก์ก็ยังมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา57โดยฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดปทุมธานีแต่การฟ้องดังกล่าวนี้ต้องฟ้องคชก.จังหวัดปทุมธานีเป็นจำเลยด้วยเพื่อให้คชก.จังหวัดปทุมธานีได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของโจทก์การที่โจทก์ไม่ฟ้องคชก.จังหวัดปทุมธานีจึงทำให้คำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดปทุมธานียังไม่ถูกเพิกถอนและยังมีผลบังคับอยู่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องผู้รับโอนนาพิพาทและขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดปทุมธานีรวมทั้งให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนโดยลำพังได้แต่การยกฟ้องโจทก์เพราะเหตุนี้เป็นการยกฟ้องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยเนื้อหาในประเด็นข้อพิพาทว่ามีอยู่จริงหรือไม่ศาลฎีกาย่อมเห็นสมควรพิพากษาโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2007/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องกรณีเพิกถ้องคำวินิจฉัย คชก. ต้องฟ้อง คชก. เป็นจำเลยร่วมด้วย มิฉะนั้นขาดอำนาจฟ้อง
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอถอนส. ทนายความโจทก์ร่วมและศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้วดังนั้นเมื่อฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมลงชื่อส. เป็นผู้ฎีกาซึ่งเป็นเพียงทนายความโจทก์เพียงผู้เดียวจึงต้องถือว่าโจทก์ร่วมไม่ได้ฎีกาด้วย ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา57เมื่อโจทก์ผู้เป็นคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียไม่พอใจคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดที่เห็นชอบตามคำวินิจฉัยของคชก.ตำบลว่าโจทก์หมดสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนโจทก์ก็ยังมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลโดยฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดกับให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนได้แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดดังกล่าวต้องฟ้องคชก.จังหวัดเป็นจำเลยด้วยทั้งนี้เพื่อให้คชก.จังหวัดได้มีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดีและชี้แจงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเพื่อแก้ข้ออ้างของโจทก์การที่โจทก์ไม่ฟ้องคชก.จังหวัดคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดก็ยังไม่ถูกเพิกถอนและมีผลบังคับอยู่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องผู้รับโอนนาพิพาทขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดและให้โจทก์มีสิทธิซื้อนาพิพาทจากผู้รับโอนโดยลำพังได้แต่การยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยเนื้อหาในประเด็นข้อพิพาทว่ามีอยู่จริงหรือไม่จึงสมควรไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2006/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนโฉนดที่ดินต้องมีเหตุโฉนดคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุด หากเคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
การที่จะสั่งเพิกถอนแก้ไขหรือออกใบแทนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินหรือเพิกถอนแก้ไขเอกสารที่ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมหรือเอกสารที่ได้จดแจ้งรายการทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา61ได้นั้นต้องเป็นกรณีที่เป็นการออกโฉนดคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไข ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์เคยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่2867โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ส. กับพวกรวม4คนยื่นคำคัดค้านศาลชั้นต้นจึงดำเนินคดีอย่างคดีอันมีข้อพิพาทและในคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยมีใจความว่าค. กับพวกได้เข้าครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่2867เป็นการชั่วคราวและถือวิสาสะไม่ใช่เข้าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของค. กับพวกผู้ครอบครองจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้และเป็นผู้รับโอนที่ดินดังกล่าวย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนพิพากษาให้ยกคำร้องขอดังนี้ผลแห่งคำพิพากษาคดีดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และส. กับพวกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคหนึ่งเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดดังกล่าวแล้วว่าโฉนดที่ดินออกโดยชอบด้วยกฎหมายและโจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่2867โดยการครอบครองดังนี้โจทก์จึงมิใช่เป็นผู้มีสิทธิหรือประโยชน์ได้เสียในที่ดินโฉนดเลขที่2867และไม่อาจมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นแก่โจทก์เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ในที่ดินโฉนดเลขที่2867ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา61และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่81ตามฟ้องและโฉนดที่ดินเลขที่2867ซึ่งออกตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1943-1944/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินโดยอาศัย น.ส.3ก. ที่ออกโดยไม่ชอบ โจทก์รู้เห็นยินยอม ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์รู้เห็นยินยอมในการที่น. นำที่ดินพิพาทไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากม. โดยถือตามหลักฐานที่ปรากฏในหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)โจทก์จะอ้างว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับม. ไม่สมบูรณ์เนื่องจากการซื้อขายครั้งก่อนๆฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามโอนและโจทก์จะใช้สิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)กับขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทหาได้ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องจำเลยในคดีพิพาทเกี่ยวกับที่ดิน: การกระทำที่ไม่โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่โดยตรง
สำนักงานราชพัสดุจังหวัดราชบุรีจำเลยที่ 1 เป็นเพียงส่วนราชการจังหวัดราชบุรี สังกัดกรมธนารักษ์ ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ไม่อาจถูกฟ้องได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งราชพัสดุจังหวัดราชบุรี มีอำนาจหน้าที่ดูแลกิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุแทนกระทรวงการคลัง ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) จะทับโฉนดที่ดินของโจทก์หรือไม่ จำเลยที่ 2ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ทั้งการที่จำเลยที่ 2 ไม่ไประวังชี้แนวเขตหรือไม่ลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ก็มิใช่การกระทำที่โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่ง และการที่จำเลยที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินแจ้งให้ระงับการรับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ไว้ก่อนเป็นการสั่งในการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ระหว่างจำเลยที่ 3ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดกับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด โดยมิได้โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่งแต่อย่างใด ทั้งในคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าที่จำเลยที่ 3 สั่งเช่นนั้นเพื่อจะกลั่นแกล้งโจทก์หรือสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง: การฟ้องจำเลยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่พิพาท และจำเลยที่ทำหน้าที่ตามกฎหมายปกติ
สำนักงานราชพัสดุจังหวัดราชบุรีจำเลยที่ 1 เป็นเพียงส่วนราชการจังหวัดราชบุรี สังกัดกรมธนารักษ์ ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่อาจถูกฟ้องได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งราชพัสดุจังหวัดราชบุรี มีอำนาจหน้าที่ดูแลกิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุแทนกระทรวงการคลัง ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)จะทับโฉนดที่ดินของโจทก์หรือไม่ จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทั้งการที่จำเลยที่ 2 ไม่ไประวังชี้แนวเขตหรือไม่ลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ก็มิใช่การกระทำที่โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่ง และการที่จำเลยที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินแจ้งให้ระงับการรับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ไว้ก่อนเป็นการสั่งในการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ระหว่างจำเลยที่ 3ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดกับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด โดยมิได้โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่งแต่อย่างใด ทั้งในคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าที่จำเลยที่ 3 สั่งเช่นนั้นเพื่อจะกลั่นแกล้งโจทก์หรือสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องจำเลยในคดีพิพาทที่ดิน: การที่จำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการกระทำที่พิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
สำนักงานราชพัสดุจังหวัดราชบุรีจำเลยที่1เป็นเพียงส่วนราชการจังหวัดราชบุรีสังกัดกรมธนารักษ์ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่อาจถูกฟ้องได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่1 จำเลยที่2ดำรงตำแหน่งราชพัสดุจังหวัดราชบุรีมีอำนาจหน้าที่ดูแลกิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุแทนกระทรวงการคลังไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3ก.)จะทับโฉนดที่ดินของโจทก์หรือไม่จำเลยที่2ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทั้งการที่จำเลยที่2ไม่ไประวังชี้แนวเขตหรือไม่ลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ก็มิใช่การกระทำที่โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่งและการที่จำเลยที่3ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรีมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินแจ้งให้ระงับการรับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ไว้ก่อนเป็นการสั่งในการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ระหว่างจำเลยที่3ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดกับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดโดยมิได้โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่งแต่อย่างใดทั้งในคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าที่จำเลยที่3สั่งเช่นนั้นเพื่อจะกลั่นแกล้งโจทก์หรือสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไรโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่2และที่3เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 189/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญารับขนของทางทะเลและการไม่มีอำนาจฟ้องของผู้รับโอนสิทธิเมื่อสินค้าเสียหายก่อนถึงปลายทาง
คดีนี้เป็นเรื่องรับขนของทางทะเล ซึ่งขณะเกิดข้อพิพาท พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 ยังไม่มีผลใช้บังคับ ทั้งไม่ปรากฏคลองจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นว่าด้วยรับขนของทางทะเล จึงต้องวินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง ตามมาตรา 4 แห่ง ป.พ.พ. อันได้แก่บทบัญญัติตามป.พ.พ. บรรพ 3 ลักษณะ 8 มาตรา 627 ซึ่งบัญญัติว่า "เมื่อของถึงตำบลที่กำหนดให้ส่งและผู้รับตราส่งได้เรียกให้ส่งมอบแล้ว ท่านว่าแต่นั้นไปสิทธิทั้งหลายของผู้ส่งอันเกิดแต่สัญญารับขนนั้นย่อมตกไปได้แก่ผู้รับตราส่ง" แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าสินค้ารายพิพาทมิได้ไปถึงตำบลที่กำหนดให้ส่ง เพราะถูกไฟไหม้เสียหายไปหมดก่อนระหว่างการขนส่ง บริษัท ย.ผู้รับโอนตราส่งจากธนาคารมาจึงไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายให้ส่งมอบสินค้ารายพิพาทได้ สิทธิทั้งหลายของผู้ส่งอันเกิดแต่สัญญารับขนไม่อาจตกไปได้แก่บริษัท ย. บริษัท ย.จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 ให้รับผิดตามสัญญารับขนรายพิพาทได้ ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย และอ้างว่ารับช่วงสิทธิจากบริษัท ย.ผู้เอาประกันภัยในสินค้ารายพิพาทย่อมไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 5 ด้วยเช่นกัน
เมื่อจำเลยที่ 5 ผู้ขนส่งหลายทอดไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องแล้ว แม้จำเลยที่ 2 และที่ 4 ผู้ขนส่งหลายทอดเช่นกันซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ร่วมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 5 มิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 และที่ 4 ได้ด้วย เพราะเป็นเรื่องการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 245 (1) ประกอบด้วย มาตรา 247
of 452