พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,218 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5870/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางในคดีพนัน: การกระทำความผิดต้องตรงตามบัญชี ก. ของ พ.ร.บ.การพนัน มิฉะนั้นศาลไม่มีอำนาจริบ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีได้บังอาจร่วมกันเล่นการพนันรัสเซี่ยนพูล (ผีลาย) ซึ่งเป็นการพนันตามบัญชี ก.อันดับที่ 18 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 พนันเอาทรัพย์สินกันโดยมิได้มีพระราชกฤษฎีกาอนุญาตให้เล่นได้ ซึ่งประเภทของการพนันที่โจทก์ระบุมาในฟ้องไม่ใช่บิลเลียดรู หรือตีผี ดังที่ระบุไว้ในบัญชี ก. อันดับที่ 18 ดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จึงมิใช่การกระทำที่พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ ดังนั้น แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ และศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้วว่าทรัพย์สินของกลางเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่นการพนันให้ริบก็ตาม คำพิพากษาดังกล่าวก็ไม่ผูกพันผู้ร้อง และกรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เมื่อการกระทำของจำเลยที่โจทก์กล่าวในฟ้องมิใช่การกระทำที่เป็นความผิด ทรัพย์สินของกลางที่เจ้าพนักงานยึดซึ่งผู้ร้องขอคืนจึงมิใช่อุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่นการพนันที่มาตรา 10วรรค 2 แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจริบได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดด้วยหรือไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแรงงาน: วินิจฉัยถึงที่สุดหลังอธิบดีศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแล้ว ห้ามอุทธรณ์
คดีที่ศาลแรงงานกลางส่งสำนวนคดีไปให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าคดีนั้นอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานกลางหรือไม่ เมื่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานวินิจฉัยว่าเป็นคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานกลางแล้วคำวินิจฉัยดังกล่าวย่อมถึงที่สุดต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 31.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5606/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลมีอำนาจยกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิฟ้องใหม่ หากยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นความรับผิดของจำเลย
การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 โดยอาศัยยอดหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ซึ่งผนวกหนี้นอกเหนือความรับผิดของจำเลยที่ 2 เข้าไว้ด้วยและคิดดอกเบี้ยทบต้นตลอดมา ทำให้ไม่อาจหยั่งทราบได้ว่าจำเลยที่ 2เป็นหนี้โจทก์จำนวนเท่าใด แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความนั้น เป็นการใช้อำนาจตามป.วิ.พ. มาตรา 148(3) แม้จำเลยที่ 2 จะให้การต่อสู้เรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไว้ แต่เมื่อศาลเห็นว่าจะต้องยกฟ้องโจทก์เพราะเหตุอื่นแล้วย่อมมีอำนาจที่จะไม่วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวได้เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องวินิจฉัยและแม้จะวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ก็ถือว่าศาลยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีที่ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่เพียงใด โจทก์ย่อมจะนำคดีมาฟ้องเพื่อให้ศาลชี้ขาดในประเด็นดังกล่าวได้ ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ คำพิพากษาศาลชั้นต้นหาขัดต่อ ป.วิ.พ.มาตรา 141(4) (5), 142 และ 148 ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5606/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิฟ้องใหม่ และการไม่วินิจฉัยประเด็นฟ้องเคลือบคลุม ศาลมีอำนาจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 โดยอาศัยยอดหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ซึ่งผนวกหนี้นอกเหนือความรับผิดของจำเลยที่ 2 เข้าไว้ด้วยและคิดดอกเบี้ยทบต้นตลอดมา ทำให้ไม่อาจหยั่งทราบได้ว่าจำเลยที่ 2เป็นหนี้โจทก์จำนวนเท่าใด แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความนั้น เป็นการใช้อำนาจตามป.วิ.พ. มาตรา 148(3) แม้จำเลยที่ 2 จะให้การต่อสู้เรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไว้ แต่เมื่อศาลเห็นว่าจะต้องยกฟ้องโจทก์เพราะเหตุอื่นแล้วย่อมมีอำนาจที่จะไม่วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวได้เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องวินิจฉัยและแม้จะวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ก็ถือว่าศาลยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีที่ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่เพียงใด โจทก์ย่อมจะนำคดีมาฟ้องเพื่อให้ศาลชี้ขาดในประเด็นดังกล่าวได้ ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ คำพิพากษาศาลชั้นต้นหาขัดต่อ ป.วิ.พ.มาตรา 141(4)(5),142 และ 148 ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5253/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ: อำนาจศาลสั่งให้จำเลยลงลายมือชื่อถอนเงินแทนการแสดงเจตนา
ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมและจำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คือได้ร่วมกับโจทก์นำเงินไปเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารให้โจทก์ 7 ล้านบาท โดยตกลงกันว่า เมื่อโจทก์ประสงค์จะถอนเงินดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ จำเลยจะต้องร่วมลงลายมือชื่อถอนเงินนั้น เมื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้มีข้อความที่แสดงว่าคู่กรณีตกลงให้จำเลยควบคุมการใช้เงินของโจทก์ ดังนี้ จำเลยจะไม่ยอมลงลายมือชื่อถอนเงินโดยอ้างว่าโจทก์มิได้แจ้งจุดประสงค์ในการใช้เงินให้จำเลยทราบตามเจตนารมณ์ของสัญญาประนีประนอมยอมความหาได้ไม่ และกรณีนี้จำเลยจะต้องชำระหนี้ด้วยการร่วมลงลายมือชื่อกับโจทก์ถอนเงินจากธนาคาร อันเป็นการทำนิติกรรมอย่างหนึ่งศาลจึงมีอำนาจสั่งบังคับว่าหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำสั่งศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ ไม่เป็นการสั่งนอกเหนือไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความหรือเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมคำพิพากษาตามยอม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5253/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับการถอนเงินจากบัญชีร่วม ศาลมีอำนาจสั่งให้ถือคำสั่งศาลแทนเจตนาจำเลย
ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมและจำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คือได้ร่วมกับโจทก์นำเงินไปเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารให้โจทก์ 7 ล้านบาท โดยตกลงกันว่า เมื่อโจทก์ประสงค์จะถอนเงินดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ จำเลยจะต้องร่วมลงลายมือชื่อถอนเงินนั้น เมื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้มีข้อความที่แสดงว่าคู่กรณีตกลงให้จำเลยควบคุมการใช้เงินของโจทก์ ดังนี้ จำเลยจะไม่ยอมลงลายมือชื่อถอนเงินโดยอ้างว่าโจทก์มิได้แจ้งจุดประสงค์ในการใช้เงินให้จำเลยทราบตามเจตนารมณ์ของสัญญาประนีประนอมยอมความหาได้ไม่ และกรณีนี้จำเลยจะต้องชำระหนี้ด้วยการร่วมลงลายมือชื่อกับโจทก์ถอนเงินจากธนาคาร อันเป็นการทำนิติกรรมอย่างหนึ่งศาลจึงมีอำนาจสั่งบังคับว่าหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำสั่งศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ ไม่เป็นการสั่งนอกเหนือไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความหรือเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมคำพิพากษาตามยอม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4918/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกหมายจำคุกย้อนหลังและการพิจารณาประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ: ศาลมีอำนาจจำกัด
ศาลชั้นต้นได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดโดยให้มีผลย้อนหลังไปในวันที่คดีถึงที่สุดตามที่จำเลยร้องขอแล้ว ส่วนการที่จำเลยจะได้รับประโยชน์จากการลดโทษตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ. 2530 และพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ พ.ศ. 2531 หรือไม่เพียงใดนั้นจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ และเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการซึ่งตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวที่จะทำการตรวจสอบ ไม่ใช่หน้าที่ของศาลที่จะพิจารณาลดโทษให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4897/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลสั่งยกคำร้องคัดค้านการบังคับคดี: ไม่จำเป็นต้องไต่สวนก่อน หากพิจารณาแล้วไม่สมควรอนุญาต
การพิจารณาคำร้องของผู้ร้องว่าที่ดินและบ้านเรือนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีให้จำเลยและบริวารออกไปนั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องมิใช่กรรมสิทธิ์ของจำเลย ขอให้ระงับการบังคับคดีไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำการไต่สวนก่อน ที่ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อมให้ผู้ร้อง โจทก์ จำเลยมาศาลก็เพื่อทำการพิจารณาสั่งคำร้องของผู้ร้อง และในวันนัดพร้อม หากศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าคำร้องของผู้ร้องไม่สมควรอนุญาตตามคำร้องก็อาจยกคำร้องเสียได้ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิเคราะห์แล้วว่าคำร้องของผู้ร้องไม่มีเหตุที่จะอนุญาตตามคำร้อง จึงยกคำร้อง มิได้สั่งยกคำร้องเพราะเหตุผู้ร้องไม่มาศาล.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4702/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-อายุความเช็ค: ศาลฯ ยืนฟ้องได้ แม้ฟ้องซ้ำศาลเดิม เหตุคดีก่อนยกฟ้องเพราะอำนาจศาลไม่ครบ
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินตามเช็คภายในกำหนดอายุความแล้วแต่ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ เพราะคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลโดยเชื่อคำแถลงของภรรยาจำเลยว่าได้หย่าขาดและจำเลยได้ย้ายออกจาก ภูมิลำเนาตามฟ้องแล้ว กรณีจึงต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 176 มีผลว่าเช็คที่ขาดอายุความระหว่างดำเนินคดี หรือจะสิ้นอายุความระหว่างหกเดือนภายหลังที่ได้พิพากษาคดีถึงที่สุด ให้ขยายอายุความออกไปถึงหกเดือนภายหลังคำพิพากษานั้น ปรากฏว่าศาลยกฟ้องคดีนั้นวันที่ 20 กันยายน2527 เช็คที่ขาดอายุความในระหว่างพิจารณาหรือเหลืออายุความไม่ถึงหกเดือนจึงขยายไปถึงวันที่ 20 มีนาคม 2528 โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องอีกเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2528 คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความและแม้จะเป็นการฟ้องที่ศาลเดิมก็ตาม เพราะมาตรา 176 ไม่มีข้อความจำกัดว่าจะต้องฟ้องต่อศาลอื่น
คดีก่อนศาลจังหวัดปทุมธานียกฟ้องโดย ที่เห็นว่า ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา เป็นการยกฟ้องที่ยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี เมื่อปรากฏว่าจำเลยยังมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดปทุมธานี โจทก์ก็มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลจังหวัดปทุมธานีได้อีก ไม่เป็นฟ้องซ้ำ.
คดีก่อนศาลจังหวัดปทุมธานียกฟ้องโดย ที่เห็นว่า ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา เป็นการยกฟ้องที่ยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี เมื่อปรากฏว่าจำเลยยังมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดปทุมธานี โจทก์ก็มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลจังหวัดปทุมธานีได้อีก ไม่เป็นฟ้องซ้ำ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4670/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วนได้ แม้ไม่ได้ยกเป็นประเด็นข้อพิพาทโดยตรง โดยอ้างอิงมาตรา 383 ป.พ.พ.
เบี้ยปรับหากกำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจหยิบยกบทบัญญัติมาตรา 383 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาใช้ปรับแก่คดีโดยลดเบี้ยปรับลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้กำหนดเรื่องเบี้ยปรับเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ในคดีโดยตรง