คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5029/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลาอุทธรณ์: เหตุผลความล่าช้าจากการยืนยันจากจำเลยไม่ถือเป็นพฤติการณ์พิเศษ
ในวันครบกำหนดอุทธรณ์ ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป 15 วัน โดยอ้างเหตุว่าเพิ่งได้รับการยืนยันจากจำเลยให้ว่าความในชั้นอุทธรณ์ จึงไม่สามารถยื่นคำอุทธรณ์ได้ทันนั้น เมื่อคดีนี้มิได้มีถ้อยคำสำนวนมากมายจนไม่อาจตรวจและทำคำฟ้องอุทธรณ์ได้ทันภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ไว้ถึง 1 เดือน เหตุที่อ้างว่าจำเลยเพิ่งยืนยันให้ว่าความในชั้นอุทธรณ์เป็นเรื่องที่จำเลยเพิกเฉยเสียเอง ยังถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษที่ศาลจะสั่งขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้ได้ และมิใช่กรณีที่มีเหตุสุดวิสัย ที่ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์นั้นชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5029/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ต้องมีเหตุพิเศษ มิใช่การเพิ่งได้รับการยืนยันจากจำเลย
ในวันครบกำหนดอุทธรณ์ ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป 15 วัน โดยอ้างเหตุว่าเพิ่งได้รับการยืนยันจากจำเลยให้ว่าความในชั้นอุทธรณ์จึงไม่สามารถยื่นคำอุทธรณ์ได้ทันนั้น เมื่อคดีนี้มิได้มีถ้อยคำสำนวนมากมายจนไม่อาจตรวจและทำคำฟ้องอุทธรณ์ได้ทันภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ไว้ถึง 1 เดือนเหตุที่อ้างว่าจำเลยเพิ่งยืนยันให้ว่าความในชั้นอุทธรณ์เป็นเรื่องที่จำเลยเพิกเฉยเสียเอง ยังถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษที่ศาลจะสั่งขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้ได้ และมิใช่กรณีที่มีเหตุสุดวิสัย ที่ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์นั้นชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5003/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม การลดเบี้ยปรับตามพฤติการณ์ และการไม่ติดใจอุทธรณ์
ข้อกล่าวอ้างของโจทก์ที่ไม่ต้องเสียเบี้ยปรับตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89(10) นั้น หาได้ระบุไว้ในคำอุทธรณ์ที่ยื่นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ ถือได้ว่าโจทก์ไม่ติดใจที่จะอุทธรณ์คัดค้านในประเด็นนี้แล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะยกขึ้นโต้แย้งการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินในประเด็นที่ได้สละแล้วมาฟ้องต่อศาลได้อีก แม้จำเลยจะมิได้ให้การและอุทธรณ์ในประเด็นอำนาจฟ้องของโจทก์แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ จากการตรวจสอบภาษีของเจ้าหน้าที่ของจำเลยพบว่าโจทก์ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มมาแล้ว2 ครั้ง จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะงดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์แต่เมื่อโจทก์เพิ่งจะกระทำความผิดในเรื่องไม่จัดทำรายงานสินค้าและวัตถุดิบเป็นครั้งแรกและโจทก์ได้จัดทำรายงานภาษีขายและภาษีซื้อสำหรับเดือนภาษีพิพาทถูกต้อง ทั้งกรณีดังกล่าวจะต้องเสียเบี้ยปรับตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89(10) หรือไม่ยังเป็นปัญหาซึ่งเจ้าหน้าที่ของจำเลยเองก็มีความเห็นขัดแย้งกันอยู่ ผู้ไม่มีความรู้เชี่ยวชาญด้านภาษีอากรเยี่ยงโจทก์ย่อมยากจะเข้าใจว่าจะต้องเสียเบี้ยปรับตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ประกอบกับโจทก์ก็ได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบภาษีของเจ้าหน้าที่ของจำเลย เป็นอย่างดีและยินยอมเสียภาษีตามที่เจ้าพนักงานประเมิน ได้เรียกเก็บในชั้นแรก การที่จะให้โจทก์เสียเบี้ยปรับตามจำนวน ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้กำหนดมา ย่อมหนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้เหมาะสมตามพฤติการณ์แห่งรูปคดี โดยให้ลดเบี้ยปรับลง คงให้โจทก์เสียเพียงร้อยละ 25 ของเบี้ยปรับที่ถูกเรียกเก็บ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4935/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อมูลศาลและบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับคดีในศาลจังหวัดขอนแก่นและศาลอุทธรณ์ภาค 1
(สันติ ทักราล - ณรงค์ศักดิ์ วิจิตรสาระวงศ์ - เรืองฤทธิ์ ศรีวรรธนะ)ศาลจังหวัดขอนแก่น นายนพดล คชรินทร์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 นายสมจิตร ทองประดับ
นายวิรัช ชินวินิจกุล - ตรวจ
นายมนตรี ยอดปัญญา - ผู้ช่วยผู้พิพากษาฯ
นางสาวจิตติมา วัณนาวิบูล - นิติกร/ย่อ
สุชาดา พิมพ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4924/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงลายมือชื่ออุทธรณ์ของกรรมการบริษัทที่ไม่ถูกต้องตามข้อบังคับบริษัท ทำให้การอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และตามข้อบังคับของบริษัทกำหนดให้กรรมการซึ่ง ลงลายมือชื่อผูกพันบริษัทได้คือ น. หรือป.ลงลายมือชื่อร่วมกับล. หรือช. รวมเป็นสองคนและประทับตราสำคัญของบริษัท แต่ตามอุทธรณ์ของจำเลย กรรมการที่ลงลายมือชื่อ ในช่องผู้อุทธรณ์คือ น.และป. และประทับสำคัญของบริษัท ซึ่งไม่ถูกต้องตามข้อบังคับของบริษัท จึงไม่มี อำนาจกระทำการผูกพันจำเลยได้ อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4883/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อุทธรณ์คำพิพากษายกฟ้อง ทำให้ไม่สามารถฎีกาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายได้
คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ไว้จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4636/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีแรงงาน: การโต้แย้งดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐาน
ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่า การที่โจทก์เจ็บป่วยเป็นโรคบิสซิโนซิสจากการทำงานยังถือไม่ได้ว่าเป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลย การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่โจทก์เจ็บป่วยเป็นโรคดังกล่าวเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ปล่อยให้ฝุ่นฝ้ายฟุ้งกระจายเกินมาตรฐานที่ทางราชการกำหนด จำเลยย่อมคาดหมายได้ว่าฝุ่นฝ้ายที่ฟุ้งกระจายนั้นย่อมเกิดอันตรายต่อโจทก์ การเจ็บป่วยของโจทก์จึงเป็นผลโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลย เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงาน เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4636/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินความรับผิดทางละเมิดจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นอันตราย – การโต้แย้งดุลพินิจศาลชั้นต้นต้องห้ามอุทธรณ์
ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงว่า การที่โจทก์เจ็บป่วยเป็นโรคบิสซิโนซิสจากการทำงานยังถือไม่ได้ว่าเป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลย การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่โจทก์เจ็บป่วยเป็นโรคดังกล่าวเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ปล่อยให้ฝุ่นฝ้ายฟุ้งกระจายเกินมาตรฐานที่ทางราชการกำหนด จำเลยย่อมคาดหมายได้ว่าฝุ่นฝ้ายที่ฟุ้งกระจายนั้นย่อมเกิดอันตรายต่อโจทก์ การเจ็บป่วยของโจทก์จึงเป็นผลโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลย เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 461/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษี การอุทธรณ์ และการคำนวณเงินเพิ่ม กรณีภาษีการค้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตามคำโต้แย้งหลายประการในคำอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ได้โต้แย้งว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ไม่ถูกต้อง โจทก์ยินดีที่จะให้ปรับปรุงภาษีให้ถูกต้องและจะเสียเงินเฉพาะส่วนที่เพิ่มจากผลต่างระหว่างภาษีการค้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมทั้งเงินเพิ่มจนถึงวันที่โจทก์ได้ชำระเงินเท่านั้นมิใช่จนถึงวันที่ถูกประเมิน ส่วนยอดภาษีบางยอดโจทก์ก็ยืนยันว่านำส่งถูกต้องแล้วเพียงแต่ล่าช้าไปเท่านั้น เมื่อโจทก์ได้รับการประเมินจากเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1ปรากฏว่ายอดเงินที่จำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ชำระไม่เป็นไปตามที่โจทก์อุทธรณ์จึงเห็นได้ว่าข้อโต้แย้งของโจทก์ได้ถูกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการอุทธรณ์วินิจฉัยแตกต่างจากการอุทธรณ์ของโจทก์ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิเกี่ยวกับการประเมินและโจทก์ได้อุทธรณ์โต้แย้งการประเมินไว้แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้
กรณีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมินตาม ป.รัษฎากร มาตรา21 นั้น เป็นเรื่องที่ผู้ต้องเสียภาษีไม่ปฏิบัติตามมาตรา 19 โดยไม่ยอมมาให้ไต่สวนหรือไม่นำบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นอันควรแก่เรื่องมาแสดง หรือไม่ยอมตอบคำถามเมื่อซักถามโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้มาให้ไต่สวนและส่งบัญชีเอกสารหรือหลักฐานมาแสดงเกือบครบถ้วนแล้ว การที่ศาลภาษีอากรรับฟังเอกสารใบแจ้งหนี้และใบลดหนี้ที่โจทก์นำส่งภายหลังการประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินและหลังจากการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว จึงมิได้ขัดต่อ ป.รัษฎากร มาตรา 21 ดังกล่าว
ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.รัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ.2534มาตรา 24 การขายสินค้าที่มีการขายเสร็จเด็ดขาดหรือการให้บริการที่สิ้นสุดลงก่อนวันที่ 1 มกราคม 2535 แม้จะมีการชำระค่าตอบแทนหลังวันที่ 1 มกราคม 2535โจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มย่อมมีสิทธินำรายรับซึ่งเป็นค่าตอบแทนไปยื่นเสียภาษีการค้าได้ ดังนั้น การที่โจทก์นำรายรับดังกล่าวไปยื่นเสียภาษีการค้าไว้จึงชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว ส่วนกรณีที่สัญญาคาบเกี่ยวถึงปี 2535 นั้นเมื่อปรากฏว่า การให้บริการแต่ละครั้งมีการรับค่าตอบแทนจากการให้บริการแยกได้ชัดเจน จึงถือได้ว่าการให้บริการแต่ละครั้งสิ้นสุดในวันนั้น มิใช่ถือวันสิ้นสุดสัญญาเป็นหลัก
ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 89/1 วรรคสาม การคำนวณเงินเพิ่มกรณีไม่ชำระภาษีหรือนำส่งภาษีให้ครบถ้วนจะต้องเริ่มนับแต่เมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือยื่นแบบนำส่งภาษีจนถึงวันชำระภาษีหรือนำส่งภาษีดังนั้น การที่โจทก์ชำระภาษีในเดือนที่เหลื่อมไป จึงต้องคำนวณเงินเพิ่มจนถึงวันที่โจทก์ชำระภาษีนั้น มิใช่คำนวณถึงวันที่มีการประเมินภาษี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 445/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงเกินกรอบ ป.วิ.พ.มาตรา 224 ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะส่วน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาท เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท การที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทแทนผู้คัดค้านซึ่งเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 และศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษากลับให้ยกคำร้องขอของผู้ร้อง จึงเป็นการไม่ชอบ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ผู้ร้องจะฎีกาต่อมา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย และศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะส่วนที่วินิจฉัยในข้อเท็จจริง และยกฎีกาผู้ร้องให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น กับคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้ผู้ร้อง
of 349