พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6114/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต: การพิจารณาเจตนาในการประกอบธุรกิจ
ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ฐานฉ้อโกงประชาชน แม้จะมีข้อความว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่สามารถจัดให้คนหางานได้ทำงานในต่างประเทศโดยได้รับค่าจ้างตามที่จำเลยทั้งสองกับพวกกล่าวอ้าง แต่ก็ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่มีเจตนาประกอบธุรกิจจัดหางานตามที่บรรยายไว้ในข้อหาฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยทั้งสองตามฟ้องจึงเป็นความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้จำเลยทั้งสองจะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองตาม พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82 และยกฟ้องโจทก์ในข้อหาดังกล่าวนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6114/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาประกอบธุรกิจจัดหางาน แม้จัดส่งคนงานไม่ได้ ก็ยังมีความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ฐานฉ้อโกงประชาชน แม้จะมีข้อความ ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่สามารถจัดให้คนหางานได้ทำงาน ในต่างประเทศโดยได้รับค่าจ้างตามที่จำเลยทั้งสองกับพวกกล่าวอ้าง แต่ก็ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่มีเจตนาประกอบธุรกิจจัดหางานตามที่บรรยายไว้ในข้อหาฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยทั้งสองตามฟ้องจึงเป็นความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้จำเลยทั้งสองจะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง,82และยกฟ้องโจทก์ในข้อหาดังกล่าวนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6030/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาชำระหนี้ทั้งหมดแม้เกินวงเงินค้ำประกัน ถือเป็นการประสงค์ชำระหนี้โดยสิ้นเชิง
แม้ข้อความตอนต้นในหนังสือแสดงเจตนาชำระหนี้แทน ก.จะกล่าวเท้าความถึงหนี้ของ ก. ที่โจทก์ค้ำประกันว่า เป็นหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน แต่ตอนต่อมาโจทก์ได้ตกลงยินยอมชำระหนี้ที่ ก. มีต่อจำเลยที่ 1 ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังยินยอมให้จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนพันธบัตรที่โจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้นำเงินมาชำระหนี้ของ ก. ทั้งหมดโดยมิได้กำหนดเงื่อนไขความรับผิดไว้ ทั้ง ๆ ที่โจทก์ทราบแล้วว่าขณะนั้น ก. เป็นหนี้จำเลยที่ 1 เกินวงเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี กรณีจึงต้องถือว่าโจทก์ประสงค์จะชำระหนี้ของ ก. ที่มีต่อจำเลยที่ 1 โดยสิ้นเชิง หาใช่ยอมรับผิดเพียงไม่เกินวงเงินตามสัญญาค้ำประกันไม่ แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์จะเบิกความว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือแสดงเจตนาชำระหนี้แทน ก. โดยสำคัญผิด แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวมิได้เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี เป็นเรื่องนอกประเด็นถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5969/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงจัดหางานต่างประเทศไม่เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนหรือ พ.ร.บ.จัดหางาน
โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนว่า จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจำเลยสามารถจัดหางานและส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศได้ โดยจะได้รับเงินค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวนมาก ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงจำเลยทั้งสามไม่สามารถจัดหางานและส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศได้ เพราะจำเลยทั้งสามไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานเพื่อให้คนหางานไปทำงานในต่างประเทศจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง โดยการหลอกลวงของจำเลยทั้งสามดังกล่าวทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อมอบเงินให้แก่จำเลยทั้งสามไป การบรรยายฟ้องของโจทก์เช่นนี้ได้ความเพียงว่า จำเลยทั้งสามเจตนาหลอกลวงโจทก์ร่วมและผู้เสียหายทั้งหลายเพื่อหวังจะได้รับเงินค่าบริการตอบแทนจากโจทก์ร่วมและผู้เสียหายเท่านั้น จำเลยทั้งสามย่อมไม่มีเจตนาที่จะส่งโจทก์ร่วมและผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงไปทำงานในต่างประเทศดังที่จำเลยทั้งสามกล่าวอ้างแต่ประการใด การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 ตามฟ้อง
โจทก์ร่วมและผู้เสียหายแต่ละคนทราบข่าวจากเพื่อนคนงานคนอื่น ๆ ว่า จำเลยที่ 1 จัดส่งคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ โจทก์ร่วมและผู้เสียหายจึงไปที่สำนักงานของจำเลยที่ 1 เพื่อสมัครงาน ได้พบจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้หลอกลวงโจทก์ร่วมและผู้เสียหายว่าสามารถจัดส่งโจทก์ร่วมและผู้เสียหายไปทำงานที่ประเทศฝรั่งเศสได้ โจทก์ร่วมและผู้เสียหายต่างหลงเชื่อจึงได้มอบเงินค่าทำวีซ่าและค่าตอบแทนให้แก่จำเลยที่ 2 ไปต่อหน้าจำเลยที่ 3 เป็นการหลอกลวงโจทก์ร่วมและผู้เสียหายแต่ละรายเป็นรายบุคคล หาใช่เป็นการประกาศโฆษณาเชิญชวนต่อประชาชนไม่ แม้ที่หน้าสำนักงานของจำเลยที่ 1 จะมีป้ายชื่อของจำเลยที่ 1ปิดไว้ก็ตาม แต่ป้ายดังกล่าวก็เป็นเพียงป้ายชื่อของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่มีข้อความแสดงถึงการประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนมาสมัครงานกับจำเลยแต่อย่างใดจำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ.มาตรา 343
โจทก์ร่วมและผู้เสียหายแต่ละคนทราบข่าวจากเพื่อนคนงานคนอื่น ๆ ว่า จำเลยที่ 1 จัดส่งคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ โจทก์ร่วมและผู้เสียหายจึงไปที่สำนักงานของจำเลยที่ 1 เพื่อสมัครงาน ได้พบจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้หลอกลวงโจทก์ร่วมและผู้เสียหายว่าสามารถจัดส่งโจทก์ร่วมและผู้เสียหายไปทำงานที่ประเทศฝรั่งเศสได้ โจทก์ร่วมและผู้เสียหายต่างหลงเชื่อจึงได้มอบเงินค่าทำวีซ่าและค่าตอบแทนให้แก่จำเลยที่ 2 ไปต่อหน้าจำเลยที่ 3 เป็นการหลอกลวงโจทก์ร่วมและผู้เสียหายแต่ละรายเป็นรายบุคคล หาใช่เป็นการประกาศโฆษณาเชิญชวนต่อประชาชนไม่ แม้ที่หน้าสำนักงานของจำเลยที่ 1 จะมีป้ายชื่อของจำเลยที่ 1ปิดไว้ก็ตาม แต่ป้ายดังกล่าวก็เป็นเพียงป้ายชื่อของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่มีข้อความแสดงถึงการประกาศโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนมาสมัครงานกับจำเลยแต่อย่างใดจำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ.มาตรา 343
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5857/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานผลิตและมีแอมเฟตามีนในครอบครอง โดยพิจารณาเจตนาและคุณสมบัติของจำเลย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ 3 เป็นบุตรเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ที่บ้านไม่มีเลขที่พบของกลาง เครื่องมือใช้ผลิตแอมเฟตามีน 27 รายการ และค้นบ้านเลขที่ 377 ซึ่งอยู่ห่างไป 500 เมตรพบจำเลยที่ 2 ในบ้านดังกล่าวพบของกลางน้ำยาและอุปกรณ์การผลิตจำนวนมากยาม้าหรือแอมเฟตามีนที่ผลิตแล้ว 180 เม็ด ส่วนอุปกรณ์เช่น บล๊อกปั๊มยี่ห้อยาม้าค้นได้ที่ใต้ฟูกในห้องนอน บ้านไม่มีเลขที่กับบ้านเลขที่ 377 เป็นบ้านของจำเลยที่ 1 และที่ 2ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การว่า ผู้นำเครื่องมือผลิตยาม้ามาไว้ในบ้านดังกล่าวนั้นคือนายตี๋เพื่อนของจำเลยที่ 1 และได้ผลิตยาม้าไปแล้วครั้งหนึ่ง การที่จำเลยที่ 2รู้เห็นยินยอมในการที่นายตี๋นำเครื่องมือและอุปกรณ์การผลิตยาม้าหรือแอมเฟตามีนมาทำการผลิตในบ้านของตน รวมทั้งแอมเฟตามีนที่ผลิตเป็นเม็ดแล้วก็เก็บไว้ในบ้านดังกล่าวแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 และนายตี๋ทำการผลิตแอมเฟตามีนและร่วมกันมีแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง
จำเลยที่ 3 อายุ 19 ปี ยังอยู่ในอำนาจการปกครองของจำเลย-ที่ 1 และที่ 2 บิดามารดา และอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในบ้านเกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านของจำเลยที่ 1 และที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงใจร่วมกับนายตี๋ทำการผลิตแอมเฟตามีนในบ้านดังกล่าว จึงไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำการผลิตแอมเฟตามีนตามฟ้อง
ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นได้มี พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ออกใช้บังคับโดยเพิ่มเติม มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่งห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออก ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2แยกจากเดิม ซึ่งบัญญัติรวมไว้ในมาตรา 13 และแก้ไขโทษปรับตามขั้นสูงตามมาตรา 89 ให้ต่ำลงมาจากปรับห้าแสนบาท เป็นปรับสี่แสนบาท ถือว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องใช้บทกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่นี้มาปรับแก่คดีของจำเลยทั้งสอง ตาม ป.อ.มาตรา 3 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษตาม ป.อ.มาตรา 78 เห็นสมควรนำมาเป็นเหตุลดโทษแก่จำเลยที่ 2 แล้วก็ให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งคดีได้เสร็จเด็ดขาดไปแล้วด้วยได้
จำเลยที่ 3 อายุ 19 ปี ยังอยู่ในอำนาจการปกครองของจำเลย-ที่ 1 และที่ 2 บิดามารดา และอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในบ้านเกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านของจำเลยที่ 1 และที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงใจร่วมกับนายตี๋ทำการผลิตแอมเฟตามีนในบ้านดังกล่าว จึงไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำการผลิตแอมเฟตามีนตามฟ้อง
ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นได้มี พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ออกใช้บังคับโดยเพิ่มเติม มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่งห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออก ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2แยกจากเดิม ซึ่งบัญญัติรวมไว้ในมาตรา 13 และแก้ไขโทษปรับตามขั้นสูงตามมาตรา 89 ให้ต่ำลงมาจากปรับห้าแสนบาท เป็นปรับสี่แสนบาท ถือว่าเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องใช้บทกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่นี้มาปรับแก่คดีของจำเลยทั้งสอง ตาม ป.อ.มาตรา 3 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษตาม ป.อ.มาตรา 78 เห็นสมควรนำมาเป็นเหตุลดโทษแก่จำเลยที่ 2 แล้วก็ให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งคดีได้เสร็จเด็ดขาดไปแล้วด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5243/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนจำกัด: การร่วมกู้ธนาคารไม่ถือเป็นเจตนาเข้าหุ้นส่วนจัดสรร
โจทก์ทำสัญญาซื้อบ้านพร้อมที่ดินจัดสรรกับจำเลยที่ 1 เป็นการเฉพาะตัว ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 ชื่อโครงการเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 ไม่มีชื่อจำเลยที่ 2 ร่วมด้วย การที่ธนาคารให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้กู้เงินร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็เพื่อให้ร่วมรับผิดตามระเบียบของธนาคารเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2ได้ตกลงเข้ากันกับจำเลยที่ 1 เพื่อกระทำกิจการจัดสรรที่ดินด้วยประสงค์จะแบ่งกำไรอันจะพึงได้จากกิจการดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1012
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5008/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องในคดีอาญา: เจตนาการร้องทุกข์แทนผู้อื่นและผู้เสียหายที่แท้จริง
ส.เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.ยานยนต์ ฯจำเลยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของห้าง ฯ ผู้เสียหายไปแล้วไม่ได้ส่งเงินค่างวดและได้นำรถจักรยานยนต์ไปขายให้บุคคลอื่น ส.จึงมาร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยข้อหายักยอก ข้อความในคำร้องทุกข์ไม่ได้ระบุว่า ส.เกี่ยวข้องกับห้าง ฯ ผู้เสียหายอย่างไร และไม่ได้ระบุว่า ส.ได้ร้องทุกข์ในนามของห้าง ฯผู้เสียหาย ทั้งไม่ปรากฏรอยตราของผู้เสียหายในช่องผู้ร้องทุกข์แต่อย่างใด จึงไม่อาจแปลเจตนาได้ว่า ส.ร้องทุกข์ในนามของผู้เสียหาย แม้ตามข้อเท็จจริง ส.จะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของผู้เสียหายก็ไม่อาจแปลเจตนาว่ากระทำแทนผู้เสียหายในกรณีเช่นนี้ได้ เมื่อห้าง ฯ ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ได้ร้องทุกข์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4995/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพรากเด็กเพื่อการอนาจาร: ความสัมพันธ์โดยสมัครใจไม่มีเจตนาพราก
ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กกับจำเลยสมัครใจรักใคร่ชอบพอกันโดยจำเลยยังไม่มีภริยามาก่อน และจำเลยได้พาผู้เสียหายไปนอนหลับได้เสียกันก็เพื่อประสงค์จะกินอยู่ด้วยฉันสามีภริยา ต่อมาฝ่ายจำเลยมีเหตุขัดข้องไม่สามารถจัดหาสินสอดและของหมั้นไปสู่ขอผู้เสียหายจากบิดามารดาผู้เสียหายตามประเพณีได้ จึงมิได้อยู่กินด้วยกัน ดังนี้การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กไปเพื่อการอนาจาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 480/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามบุกรุกเคหสถานและลักทรัพย์: เจตนาสำคัญ แม้ไม่สำเร็จความผิดก็มี
จำเลยใช้กุญแจไขประตูห้องซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและเก็บรักษาทรัพย์ของผู้เสียหายจนประตูเปิดออก ถือได้ว่าจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดฐานบุกรุกเคหสถานและลักทรัพย์ของผู้เสียหายแล้ว แต่เมื่อผู้เสียหายพบเห็นและขัดขวางการกระทำของจำเลยเสียก่อนจำเลยจึงไม่สามารถกระทำความผิดดังกล่าวสำเร็จ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามกระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 480/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาบุกรุกเคหสถานและพยายามลักทรัพย์ แม้ผู้เสียหายขัดขวางก่อนสำเร็จ
จำเลยใช้ลูกกุญแจไขประตูห้องซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและเก็บรักษาทรัพย์ของผู้เสียหายจนเปิดออก ถือได้ว่า จำเลยได้ลงมือกระทำความผิดฐานบุกรุกเคหสถานและลักทรัพย์ของผู้เสียหายแล้ว แต่เมื่อผู้เสียหายพบเห็นและขัดขวางเสียก่อน จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายาม