พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,243 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1522/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดขวางอำนาจศาลโดยไม่ส่งเอกสาร ไม่ทำให้โจทก์เสียหายโดยตรง จึงไม่เป็นผู้เสียหาย
โจทก์นำหมายศาลที่สั่งเรียกเอกสารซึ่งอยู่ในครอบครองของจำเลยส่งให้จำเลยที่ศาล จำเลยรับหมายแล้วกล่าวว่า เป็นเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ แล้วทิ้งหมายลงบนพื้นทางเดิน ต่อมาโจทก์ได้ให้พนักงานศาลนำส่งหมายเรียกเอกสารเหล่านั้นแก่จำเลยอีก จำเลยจงใจขัดอำนาจศาล ไม่ยอมส่งเอกสารต่อศาล ถือว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยเพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 ข้อ 4 ผู้เสียหายคือบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง กรณีนี้เป็นเพียงเรื่องที่งดเว้นไม่ยอมกระทำการอย่างหนึ่งขึ้นเท่านั้น สิทธิหน้าที่ของโจทก์จำเลยไม่ได้มีต่อกันโดยตรงที่จะต้องให้เอกสารนั้นมาดู การไม่ยอมส่งของจำเลยจึงไม่ใช่เป็นการงดเว้นที่ล่วงสิทธิหน้าที่ของโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เป็นผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1522/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดขวางอำนาจศาลและการไม่เป็นผู้เสียหายตามกฎหมายอาญา
โจทก์นำหมายศาลที่สั่งเรียกเอกสารซึ่งอยู่ในครอบครองของจำเลยส่งให้จำเลยที่ศาล จำเลยรับหมายแล้วกล่าวว่า เป็นเรื่องบ้าๆบอๆ แล้วทิ้งหมายลงบนพื้นทางเดิน ต่อมาโจทก์ได้ให้พนักงานศาลนำส่งหมายเรียกเอกสารเหล่านั้นแก่จำเลยอีก จำเลยจงใจขัดอำนาจศาล ไม่ยอมส่งเอกสารต่อศาล ถือว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยเพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 ข้อ 4ผู้เสียหายคือบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง กรณีนี้เป็นเพียงเรื่องที่งดเว้นไม่ยอมกระทำการอย่างหนึ่งขึ้นเท่านั้น สิทธิหน้าที่ของโจทก์จำเลยไม่ได้มีต่อกันโดยตรงที่จะต้องให้เอกสารนั้นมาดู การไม่ยอมส่งของจำเลยจึงไม่ใช่เป็นการงดเว้นที่ล่วงสิทธิหน้าที่ของโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เป็นผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1522/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดขวางการส่งเอกสารตามหมายศาล ไม่ทำให้โจทก์เป็นผู้เสียหายที่จะฟ้องอาญาได้
โจทก์นำหมายศาลที่สั่งเรียกเอกสารซึ่งอยู่ในครอบครองของจำเลยส่งให้จำเลยที่ศาล. จำเลยรับหมายแล้วกล่าวว่า เป็นเรื่องบ้าๆบอๆ แล้วทิ้งหมายลงบนพื้นทางเดิน. ต่อมาโจทก์ได้ให้พนักงานศาลนำส่งหมายเรียกเอกสารเหล่านั้นแก่จำเลยอีก. จำเลยจงใจขัดอำนาจศาล. ไม่ยอมส่งเอกสารต่อศาล. ถือว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย.เพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 ข้อ 4.ผู้เสียหายคือบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง. กรณีนี้เป็นเพียงเรื่องที่งดเว้นไม่ยอมกระทำการอย่างหนึ่งขึ้นเท่านั้น. สิทธิหน้าที่ของโจทก์จำเลยไม่ได้มีต่อกันโดยตรงที่จะต้องให้เอกสารนั้นมาดู. การไม่ยอมส่งของจำเลยจึงไม่ใช่เป็นการงดเว้นที่ล่วงสิทธิหน้าที่ของโจทก์. โจทก์ไม่ใช่เป็นผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1262/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมศาลและการรับอุทธรณ์: ศาลต้องเรียกค่าธรรมเนียมก่อนพิจารณา หากไม่เรียกเอง ผู้เสียหายไม่ต้องรับผิด
ในคดีเรียกร้องให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์สิน ฯลฯ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 254 ซึ่งให้เรียกค่าธรรมเนียมดั่งคดีแพ่งนั้น หากผู้อุทธรณ์ในคดีส่วนแพ่งมิได้เสียค่าธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ขึ้นมา และไม่ปรากฏว่าผู้อุทธรณ์ขัดขืนไม่ยอมเสีย ไม่ชอบที่จะสั่งยกอุทธรณ์เสียเพียงเหตุที่มิได้เสียค่าธรรมเนียมโดยไม่พิเคราะห์ถึงมูลเหตุที่ไม่เสียนั้นเสียก่อน (ตามแนวฎีกาที่ 1426/2493, 389/2494, 1301 - 1302/2501)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1153/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสลักหลังเช็คและการฉ้อโกง: ความรับผิดทางแพ่งและอาญาเมื่อเช็คไม่สามารถใช้ได้
จำเลยยืมเงินผู้เสียหาย โดยนำเช็คลงวันที่ล่วงหน้าของผู้อื่นมามอบไว้เพื่อชำระหนี้. และจำเลยได้สลักหลังเช็คนั้นด้วย. แม้จำเลยจะบอกว่าผู้สั่งจ่ายเช็คมีฐานะดี สามารถใช้เงินตามเช็คได้ก็ตาม. จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันภัยค้ำจุน: ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดต่อค่าเสียหายจากการละเมิดของผู้อื่นโดยตรง
ค่าพาหนะไปมาโรงพยาบาลเพื่อรักษาพยาบาลบาดแผลที่ถูกทำละเมิดเป็นค่าเสียหายที่เกิดโดยตรงสืบเนื่องจากการละเมิด
โจทก์ถูกทำละเมิดแขนซ้ายพิการตลอดชีวิต มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเพราะเหตุทุพพลภาพได้
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 2 ยอมใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจำเลยที่ 1 เพื่อความวินาศภัยกันเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งและซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชอบ มีลักษณะเป็นสัญญาประกันภัยค้ำจุน ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายจึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยโดยตรงและมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ได้
โจทก์ถูกทำละเมิดแขนซ้ายพิการตลอดชีวิต มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเพราะเหตุทุพพลภาพได้
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 2 ยอมใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจำเลยที่ 1 เพื่อความวินาศภัยกันเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งและซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชอบ มีลักษณะเป็นสัญญาประกันภัยค้ำจุน ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายจึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยโดยตรงและมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันภัยค้ำจุน: ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดต่อผู้เสียหายโดยตรงจากละเมิดของผู้รับประกัน
ค่าพาหนะไปมาโรงพยาบาลเพื่อรักษาพยาบาลบาดแผลที่ถูกทำละเมิดเป็นค่าเสียหายที่เกิดโดยตรงสืบเนื่องจากการละเมิด
โจทก์ถูกทำละเมิดแขนซ้ายพิการตลอดชีวิต มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเพราะเหตุทุพพลภาพได้
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 2 ยอมใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจำเลยที่ 1 เพื่อความวินาศภัยอันเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งและซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชอบ มีลักษณะเป็นสัญญาประกันภัยค้ำจุน ดังนั้นเมื่อจำเลย ที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายจึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยโดยตรงและมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ได้
โจทก์ถูกทำละเมิดแขนซ้ายพิการตลอดชีวิต มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเพราะเหตุทุพพลภาพได้
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 2 ยอมใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจำเลยที่ 1 เพื่อความวินาศภัยอันเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งและซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชอบ มีลักษณะเป็นสัญญาประกันภัยค้ำจุน ดังนั้นเมื่อจำเลย ที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายจึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยโดยตรงและมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฉ้อโกงต้องมีการหลอกลวงผู้เสียหายโดยตรง การหลอกลวงเจ้าหน้าที่เพียงอย่างเดียวไม่ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
ตามคำบรรยายฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งอย่างไร เพียงแต่บรรยายฟ้องว่าจำเลยร่วมกันหลอกลวงพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าห้องเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 นั้น ไม่แสดงว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงต้องแสดงการหลอกลวงผู้เสียหายโดยตรง การหลอกลวงเจ้าหน้าที่ไม่ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
ตามคำบรรยายฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งอย่างไรเพียงแต่บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมกันหลอกลวงพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าห้องเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 นั้นไม่แสดงว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ vs. ยักยอก: สิทธิผู้เสียหายร่วม และการครอบครองทรัพย์ชั่วคราว
เงินที่ได้จากการขายข้าวซึ่งโจทก์ร่วมและบิดาทำร่วมกันเมื่อได้ความว่ายังไม่ได้แบ่งเงินรายนี้ระหว่างคนทั้งสองจึงต้องถือว่าทั้งบิดาและโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของเงินรายนี้ร่วมกันอยู่ดังนี้ จึงต้องถือว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหาย ย่อมมีสิทธิที่จะร้องทุกข์ได้ตามกฎหมาย
คดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้เรียกเอาเงินและทองมาใส่ถุงย่ามเพื่อเป็นสิริมงคลในการที่จำเลยจะทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ของโจทก์ร่วมโจทก์ร่วมจึงได้ห่อธนบัตรจำนวนเงิน 2,006 บาท กับเอาสร้อยคอทองคำทองหนักหนึ่งบาทหนึ่งเส้นบรรจุใส่ในกล่องพลาสติกส่งให้จำเลยจำเลยเอาห่อเงินและกล่องบรรจุสายสร้อยดังกล่าวใส่ลงไปในถุงย่ามแล้วลงเรือนไป มีนายประสิทธิและโจทก์ร่วมเดินตามหลังระหว่างเดินกันไปทางบ้านใหม่ของโจทก์ร่วมเพื่อจะทำพิธี จำเลยล้วงเอาห่อธนบัตรนั้นไปเสีย จึงเห็นได้ว่าเป็นการลักทรัพย์เพราะโจทก์ร่วมเจ้าของทรัพย์ยังมิได้สละการครอบครองให้จำเลยเขาเพียงแต่ให้จำเลยยึดถือไว้เป็นการชั่วคราว ดังนี้ การที่จำเลยเอาห่อธนบัตรนั้นไป ย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์
คดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้เรียกเอาเงินและทองมาใส่ถุงย่ามเพื่อเป็นสิริมงคลในการที่จำเลยจะทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ของโจทก์ร่วมโจทก์ร่วมจึงได้ห่อธนบัตรจำนวนเงิน 2,006 บาท กับเอาสร้อยคอทองคำทองหนักหนึ่งบาทหนึ่งเส้นบรรจุใส่ในกล่องพลาสติกส่งให้จำเลยจำเลยเอาห่อเงินและกล่องบรรจุสายสร้อยดังกล่าวใส่ลงไปในถุงย่ามแล้วลงเรือนไป มีนายประสิทธิและโจทก์ร่วมเดินตามหลังระหว่างเดินกันไปทางบ้านใหม่ของโจทก์ร่วมเพื่อจะทำพิธี จำเลยล้วงเอาห่อธนบัตรนั้นไปเสีย จึงเห็นได้ว่าเป็นการลักทรัพย์เพราะโจทก์ร่วมเจ้าของทรัพย์ยังมิได้สละการครอบครองให้จำเลยเขาเพียงแต่ให้จำเลยยึดถือไว้เป็นการชั่วคราว ดังนี้ การที่จำเลยเอาห่อธนบัตรนั้นไป ย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์