พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,439 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1913-1915/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในคดีปล้นทรัพย์หลายกรรม แม้รวมพิจารณาคดี แต่ต้องไม่เกินโทษจำคุก 20 ปีตามกฎหมาย
แม้โจทก์จะแยกฟ้องจำเลยเป็นสามสำนวน โดยขอให้นับโทษจำเลยทุกสำนวนต่อกันก็ตาม แต่เมื่อศาลได้รวมพิจารณาคดีทั้งสามสำนวนเข้าด้วยกัน และปรากฏว่าจำเลยได้กระทำการอันเป็นความผิดทั้งสามสำนวน ก็ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ซึ่งศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามรายสำนวนก็ได้แต่ทั้งนี้โทษจำคุกทั้งสิ้นของจำเลยในคำพิพากษาฉบับเดียวกันนี้จะต้องไม่เกิน 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 828 - 830/2511)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1913-1915/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในคดีความผิดหลายกรรมต่างกัน แม้จะรวมพิจารณาคดีแล้ว โทษจำคุกรวมต้องไม่เกิน 20 ปี
แม้โจทก์จะแยกฟ้องจำเลยเป็นสามสำนวน. โดยขอให้นับโทษจำเลยทุกสำนวนต่อกันก็ตาม. แต่เมื่อศาลได้รวมพิจารณาคดีทั้งสามสำนวนเข้าด้วยกัน และปรากฏว่าจำเลยได้กระทำการอันเป็นความผิดทั้งสามสำนวน. ก็ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ซึ่งศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามรายสำนวนก็ได้.แต่ทั้งนี้โทษจำคุกทั้งสิ้นของจำเลยในคำพิพากษาฉบับเดียวกันนี้จะต้องไม่เกิน 20 ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญา.มาตรา 91.(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 828-830/2511).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1523/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค้าประเวณี, หน่วงเหนี่ยวกักขัง, ความผิดฐานค้ามนุษย์, การกระทำความผิดหลายบท, การลงโทษ
เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เจ้าของกิจการสถานค้าประเวณีรับตัวนางสมจิตรผู้เสียหายไว้ แล้วบังคับให้ค้าประเวณี. ครั้นนางสมจิตรไม่ยินยอมก็ถูกผลักเข้าไปในห้องที่มีชายรออยู่. เมื่อขัดขืนต่อไปอีกก็ถูกจำเลยที่ 1 ตบหน้า. และบางครั้งเมื่อนางสมจิตรถูกชายดึงเข้าไปในห้องแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ใส่กุญแจห้องข้างนอกและคอยเฝ้าอยู่. ทั้งยังตะโกนบอกชายที่มาเที่ยวว่าให้ตบตีได้ถ้านางสมจิตรไม่ยอม. ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เช่นนี้เป็นการกระทำเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น. เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้กำลังประทุษร้าย. อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283 แล้ว. แต่ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 282.เพราะนางสมจิตรอายุเกิน 18 ปี. และไม่เป็นความผิดตามมาตรา 284. เพราะเป็นการกระทำเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น. มิใช่เพื่อสำเร็จความใคร่ของตนเองหรือผู้ร่วมกระทำความผิดกับตน.
ส่วนการที่จำเลยที่ 1 รับตัวนางสาววรรณาผู้เสียหายอายุ 16 ปี ซึ่งถูกหลอกลวงมาไว้เป็นโสเภณีในสำนักของตน ก็ได้ชื่อว่าเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของชายที่มาเที่ยว. และจำเลยที่ 1 ได้เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งนางสาววรรณา อันเป็นความผิดสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 แล้ว. โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญ.ใช้กำลังประทุษร้าย. ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม. หรือใช้วิธีข่มขืนใจประการอื่น. ทั้งไม่จำเป็นต้องให้มีผู้อื่นมาสำเร็จความใคร่กับนางสาววรรณาเสียก่อน.
สำหรับการที่จำเลยที่ 1 กระทำแก่นางสมจิตรผู้เสียหายโดยผลักเข้าไปในห้องที่มีชายรออยู่. ในเมื่อนางสมจิตรไม่ยินยอม. และบางครั้งปิดประตูใส่กุญแจข้างนอก ขังนางสมจิตรไว้กับชายที่มาเที่ยวแล้วคอยเฝ้าอยู่. ย่อมเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังนางสมจิตรให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 แล้ว.
ส่วนการที่จำเลยที่ 1 รับตัวนางสาววรรณาผู้เสียหายอายุ 16 ปี ซึ่งถูกหลอกลวงมาไว้เป็นโสเภณีในสำนักของตน ก็ได้ชื่อว่าเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของชายที่มาเที่ยว. และจำเลยที่ 1 ได้เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจารซึ่งนางสาววรรณา อันเป็นความผิดสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 แล้ว. โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญ.ใช้กำลังประทุษร้าย. ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม. หรือใช้วิธีข่มขืนใจประการอื่น. ทั้งไม่จำเป็นต้องให้มีผู้อื่นมาสำเร็จความใคร่กับนางสาววรรณาเสียก่อน.
สำหรับการที่จำเลยที่ 1 กระทำแก่นางสมจิตรผู้เสียหายโดยผลักเข้าไปในห้องที่มีชายรออยู่. ในเมื่อนางสมจิตรไม่ยินยอม. และบางครั้งปิดประตูใส่กุญแจข้างนอก ขังนางสมจิตรไว้กับชายที่มาเที่ยวแล้วคอยเฝ้าอยู่. ย่อมเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังนางสมจิตรให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332-1335/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพที่ถูกโต้แย้ง & การพิจารณาหลักฐานอื่นเพื่อลงโทษ
จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน แต่มาปฏิเสธชั้นศาลและอ้างว่าไม่ได้ให้การชั้นสอบสวน เพียงแต่ตำรวจเอากระดาษเปล่ามาให้ลงชื่อเท่านั้น คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยจึงไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ในชั้นศาลฟังลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องอาศัยคำรับชั้นสอบสวนของจำเลยแล้ว คดีย่อมไม่มีเหตุจะลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1176/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องผิดหลายกระทงในวันเดียวกัน: ไม้หวงห้ามยังไม่แปรรูปและแปรรูปแล้ว ศาลฎีกาพิพากษาให้เรียงกระทงลงโทษ
ฟ้องว่ามีไม้หวงห้ามยังมิได้แปรรูปโดยมิได้รับอนุญาต.อันเป็นความผิดตามมาตรา 69. กับมีไม้หวงห้ามที่แปรรูปแล้วโดยมิได้รับอนุญาต อันเป็นผิดตามมาตรา 48,73.เป็นฟ้องบรรยายการกระทำสองกรรมเป็นความผิดสองกระทง มิใช่กรรมเดียวเป็นผิดหลายบท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1081/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์ vs. วิ่งราวทรัพย์ การลงโทษฐานความผิดที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์โดยขู่เข็ญจะกระทำร้ายเพื่อให้เจ้าทรัพย์ส่งทรัพย์ให้ มิได้บรรยายว่าจำเลยฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้าอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยลักทรัพย์ โดยมิได้ใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญจะใช้กำลังประทุษร้าย หากแต่ได้ลักทรัพย์โดยฉกฉวยทรัพย์วิ่งหนีไปต่อหน้า อันเข้าลักษณะเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ดังนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานวิ่งราวทรัพย์ ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งมีลักษณะพิเศษไปจากการลักทรัพย์ธรรมดา เมื่อโจทก์ไม่บรรยายฟ้องในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ คดีจึงคงลงโทษจำเลยได้ในฐานลักทรัพย์เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1081/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ และวิ่งราวทรัพย์ ศาลจำกัดการลงโทษตามฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์โดยขู่เข็ญจะกระทำร้ายเพื่อให้เจ้าทรัพย์ส่งทรัพย์ให้ มิได้บรรยายว่าจำเลยฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้าอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยลักทรัพย์ โดยมิได้ใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญจะใช้กำลังประทุษร้าย หากแต่ได้ลักทรัพย์โดยฉกฉวยทรัพย์วิ่งหนีไปต่อหน้า อันเข้าลักษณะเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ดังนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานวิ่งราวทรัพย์ ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งมีลักษณะพิเศษไปจากการลักทรัพย์ธรรมดา เมื่อโจทก์ไม่บรรยายฟ้องในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ คดีจึงคงลงโทษจำเลยได้ในฐานลักทรัพย์เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องด้วยวาจาต้องระบุข้อเท็จจริงครบถ้วนพอให้ศาลพิจารณาลงโทษได้ หากฟ้องด้วยวาจาอ้างหลักฐานบาดเจ็บสาหัส ศาลพิจารณาประกอบได้
ฟ้องด้วยวาจานั้น ผู้ว่าคดีต้องบรรยายข้อเท็จจริงให้ปรากฏครบถ้วนพอที่ศาลจะลงโทษตามบทกฎหมายที่ขอประกอบด้วยข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลา สถานที่และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องพอสมควร เท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี และมาตราซึ่งบัญญัติว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงมาตรา 19 ด้วย และเป็นหน้าที่ของศาลต้องถามผู้ต้องหา ถ้าให้การรับสารภาพ ศาลจะบันทึกคำฟ้องให้ได้ใจความแห่งข้อหาเพื่อพิพากษาคดีต่อไป ถ้าคำฟ้องที่ศาลบันทึกไว้ไม่ปรากฏว่าที่บาดเจ็บรักษา 30 วันหายนั้นถึงสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ข้อใด ศาลย่อมพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบหลักฐานการฟ้องด้วยวาจาและรายงานชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องได้ เมื่อเห็นว่าปรากฏข้อเท็จจริงพอที่จะพิจารณาพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ได้ ก็พิพากษาลงโทษไปได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2510)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 104/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยไม่มีเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน และการพิจารณาความทารุณโหดร้ายในการลงโทษ
เพียงแต่จำเลยกับพวกร่วมกันฆ่าผู้ตาย โดยไม่ปรากฏว่า ร่วมคบคิดตระเตรียมการฆ่ามาก่อนแต่อย่างใดจะถือเอาเป็นการฆ่า โดยไตร่ตรองไว้ก่อนไม่ได้
การที่จำเลยกับพวกไล่ยิงผู้ตายหลายนัดจนผู้ตายล้มลง ยังจ่อยิงศีรษะผู้ตายใช้ขวานฟันอีกหลายที และร้องว่าเอาให้ตาย นั้น ก็ยังไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการทารุณโหดร้ายยิ่งไปกว่าการกระทำโดยเจตนาให้ตายในทันที
การที่จำเลยกับพวกไล่ยิงผู้ตายหลายนัดจนผู้ตายล้มลง ยังจ่อยิงศีรษะผู้ตายใช้ขวานฟันอีกหลายที และร้องว่าเอาให้ตาย นั้น ก็ยังไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการทารุณโหดร้ายยิ่งไปกว่าการกระทำโดยเจตนาให้ตายในทันที
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 464/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดพิกัดศุลกากร: พิจารณาโทษหนักเบาตามกฎหมายเฉพาะ และการจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าหน้าที่
การคำนวณค่าปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว ตามพระราชบัญญัติศุลกากร ฯ มาตรา 27 นั้น ต้องถือเอาราคาของในท้องตลาดอันเป็นราคาที่แท้จริง และรวมค่าอากรเข้าด้วย เป็นเกณฑ์ในการคำนวณ
การลักลอบนำข้าวออกนอกประเทศเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 กับตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปีเท่ากัน แต่การกระทำฐานพยายามนั้น พระราชบัญญัติศุลกากรถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 27 เสมือนกับเป็นความผิดสำเร็จลงโทษจำคุกได้ถึง 10 ปี แต่ตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอก ฯ ลงโทษได้เพียง 2 ใน 3 จำคุกได้อย่างสูง 6 ปี 8 เดือน จึงต้องลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร อันเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 (อ้างฎีกาที่ 1027/2504)
การกระทำผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรนั้น ศาลต้องนำพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489 มาใช้บังคับในการสั่งจ่ายเงินรางวัลแก่ผู้จับ
จำเลยทั้ง 3 พยายามนำข้าวออกนอกประเทศ ข้าวสารเป็นของจำเลยที่ 2 จำนวน 6 กระสอบ เป็นของจำเลยที่ 3 จำนวน 6 กระสอบ จำเลยที่ 2,3 ไม่ได้สมคบกัน ส่วนจำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2,3 ดังนี้ เมื่อค่าปรับทั้งหมด 8002.56 บาท จึงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 4001.28 บาท จำเลยที่ 2,3 คนละ 2000.64 บาท จำเลยที่ 2,3 รับสารภาพลดกึ่ง คงปรับคนละ 1000.32 บาท
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 32 บัญญัติว่า เรือ...รถ...หากใช้ในการย้าย ถอน ซ่อนเร้น หรือขนของที่ยังมิได้เสียภาษี... ให้ริบเสียสิ้น นั้น หากเจ้าของมิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องในการกระทำผิดแล้ว ศาลไม่ริบ (อ้างฎีกาที่ 193/2491) ฉะนั้น เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้ไต่สวน ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่าเจ้าของรถยนต์ของกลางรู้เห็นเกี่ยวข้องในการกระทำหรือไม่ อัยการโจทก์ก็ค้านอยู่ว่ารู้เห็นเป็นใจ จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะดำเนินการไต่สวนแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
การลักลอบนำข้าวออกนอกประเทศเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 กับตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปีเท่ากัน แต่การกระทำฐานพยายามนั้น พระราชบัญญัติศุลกากรถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 27 เสมือนกับเป็นความผิดสำเร็จลงโทษจำคุกได้ถึง 10 ปี แต่ตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอก ฯ ลงโทษได้เพียง 2 ใน 3 จำคุกได้อย่างสูง 6 ปี 8 เดือน จึงต้องลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร อันเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 (อ้างฎีกาที่ 1027/2504)
การกระทำผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรนั้น ศาลต้องนำพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489 มาใช้บังคับในการสั่งจ่ายเงินรางวัลแก่ผู้จับ
จำเลยทั้ง 3 พยายามนำข้าวออกนอกประเทศ ข้าวสารเป็นของจำเลยที่ 2 จำนวน 6 กระสอบ เป็นของจำเลยที่ 3 จำนวน 6 กระสอบ จำเลยที่ 2,3 ไม่ได้สมคบกัน ส่วนจำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2,3 ดังนี้ เมื่อค่าปรับทั้งหมด 8002.56 บาท จึงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 4001.28 บาท จำเลยที่ 2,3 คนละ 2000.64 บาท จำเลยที่ 2,3 รับสารภาพลดกึ่ง คงปรับคนละ 1000.32 บาท
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 32 บัญญัติว่า เรือ...รถ...หากใช้ในการย้าย ถอน ซ่อนเร้น หรือขนของที่ยังมิได้เสียภาษี... ให้ริบเสียสิ้น นั้น หากเจ้าของมิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องในการกระทำผิดแล้ว ศาลไม่ริบ (อ้างฎีกาที่ 193/2491) ฉะนั้น เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้ไต่สวน ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่าเจ้าของรถยนต์ของกลางรู้เห็นเกี่ยวข้องในการกระทำหรือไม่ อัยการโจทก์ก็ค้านอยู่ว่ารู้เห็นเป็นใจ จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะดำเนินการไต่สวนแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี