พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,640 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7466/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเพิกถอนการบังคับคดี: ต้องยื่นคำร้องต่อศาลก่อนการบังคับคดีเสร็จสิ้น
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดี เพราะเหตุที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องการบังคับคดีและมีคำขอให้มีการเพิกถอนการบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งที่ 11 โดยมิได้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ในกรณีเช่นนี้ ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง ได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วว่า ให้ผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง โจทก์จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว จะฟ้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีเป็นคดีใหม่มิได้
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าขอให้เพิกถอนการบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์ คำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีเดิมและจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ซื้อและผู้ขายทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยมิได้เรียกค่าเสียหายมาด้วยก็เป็นคำฟ้องที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้า
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าขอให้เพิกถอนการบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์ คำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีเดิมและจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ซื้อและผู้ขายทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยมิได้เรียกค่าเสียหายมาด้วยก็เป็นคำฟ้องที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7466/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเพิกถอนการบังคับคดี: ต้องยื่นคำร้องต่อศาลก่อน, มิใช่ฟ้องคดีใหม่
โจทก์ฟ้องจำเลยที่2ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีเพราะเหตุที่จำเลยที่2ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องการบังคับคดีและมีคำขอให้มีการเพิกถอนการบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งที่11โดยมิได้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่2ในกรณีเช่นนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296วรรคสองได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้วว่าให้ผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลงโจทก์จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าวจะฟ้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีเป็นคดีใหม่มิได้ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าขอให้เพิกถอนการบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์คำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่1ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีเดิมและจำเลยที่3ถึงที่5ซึ่งเป็นผู้ซื้อและผู้ขายทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยมิได้เรียกค่าเสียหายมาด้วยก็เป็นคำฟ้องที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7447/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-ฟ้องแย้ง: การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 144 วรรคหนึ่ง และผลกระทบต่อฟ้องแย้ง
โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1และ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ออก น.ส.3 ก. ทับที่ดินของจำเลย ขอให้เพิกถอน น.ส.3 ก. ส่วนจำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและให้สืบพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามฟ้องแย้งต่อไป แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชนะคดีตามฟ้องแย้ง โจทก์อุทธรณ์ และโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นคดีนี้ขอให้เพิกถอน น.ส.3 ก. เช่นเดียวกันการทิ้งฟ้องของโจทก์ในคดีก่อน มีผลเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องของโจทก์เท่านั้นหามีผลไปถึงฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และ ที่ 2 ด้วยไม่ ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงยังคงมีอยู่ให้ศาลต้องพิจารณาต่อไป การที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันเข้ามาใหม่ ขณะที่คดีตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้วและอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามมาตรา 144 วรรคหนึ่ง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 กับที่ 3 และจำเลยที่ 2กับที่ 3 ร่วมกันเพิกถอน น.ส.3 ก. ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2เป็นเจ้าของในแต่ละแปลง โดยโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ออก น.ส.3 ก.ทั้งสองฉบับ เมื่อฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำซึ่งไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิกถอน น.ส.3 ก.ในแต่ละฉบับได้แล้ว สภาพคำขอบังคับของโจทก์อันเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 จึงไม่เปิดช่องที่จะบังคับตามคำขอของโจทก์ในคดีนี้ได้ คดีสำหรับจำเลยที่ 3 จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาอีกต่อไป ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7371/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลายื่นฎีกา: เหตุผลและความชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ศาลชั้นต้นยกคำร้อง จำเลยที่ 1 จึงอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1เป็นการอุทธรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 วรรคแรก ซึ่งศาลชั้นต้นต้องส่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก่อน การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมส่งมายังศาลฎีกาพร้อมกับฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบ แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาว่ามีเหตุอันควรขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้จำเลยที่ 1 ไป โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นเพื่อจัดส่งคำฟ้องไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาก่อน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันชิงทรัพย์ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 12 ปี จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาให้ยื่นฎีกาแล้ว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาอ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาเป็น 45 วันแล้ว จำเลยที่ 1เข้าใจว่าคำร้องดังกล่าวมีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้นภายหลังจากระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามกฎหมายสิ้นไปแล้ว โดยไม่ปรากฏมีพฤติการณ์พิเศษและมีเหตุสุดวิสัยอย่างใด กรณีไม่มีเหตุที่จะขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้จำเลยที่ 1 ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันชิงทรัพย์ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 12 ปี จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาให้ยื่นฎีกาแล้ว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาอ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาเป็น 45 วันแล้ว จำเลยที่ 1เข้าใจว่าคำร้องดังกล่าวมีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาต่อศาลชั้นต้นภายหลังจากระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามกฎหมายสิ้นไปแล้ว โดยไม่ปรากฏมีพฤติการณ์พิเศษและมีเหตุสุดวิสัยอย่างใด กรณีไม่มีเหตุที่จะขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้จำเลยที่ 1 ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7314/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีขยายเมื่อศาลสั่งไม่รับฟ้องเนื่องจากคดีไม่อยู่ในอำนาจ
ศาลจังหวัดราชบุรีมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้คดีจึงอยู่ในระหว่างพิจารณา เมื่อต่อมาศาลจังหวัดราชบุรีเห็นวาคดีไม่อยู่ในอำนาจได้สั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเกี่ยวกับคำฟ้องใหม่ว่าไม่รับคำฟ้องกรณีเช่นนี้ถือได้ว่ามีการพิจารณาคดีแล้ว หาใช่เป็นการตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาไม่และคำสั่งดังกล่าวมีความหมายเป็นอย่างเดียวกันกับคำว่าศาลยกคดีเสียเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 176 เดิม นั่นเองฉะนั้น เมื่อกำหนดอายุความในคดีของโจทก์สิ้นไปแล้วก่อนที่ศาลจังหวัดราชบุรีจะสั่งเพิกถอนคำสั่งรับคำฟ้องเป็นคำสั่งไม่รับคำฟ้องเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลอายุความฟ้องคดีของโจทก์จึงขยายออกไปถึงหกเดือนนับแต่ศาลจังหวัดราชบุรีมีคำสั่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 730/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสิทธิเรียกร้องจากการถูกแย่งการครอบครอง: สิทธิจากการพิพากษาศาลต่างจากสิทธิเรียกร้องโดยตรง
สิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลให้มีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 168 (เดิม) นั้นหมายถึงสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยผลของคำพิพากษาชั้นที่สุดของศาลเท่านั้น มิได้หมายถึงการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองซึ่งต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง คำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีอื่นที่พิพากษาให้โจทก์ (จำเลยคดีนี้) ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองที่พิพาทจากจำเลย (โจทก์คดีนี้) เกินกว่า 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง พิพากษายกฟ้อง ไม่ได้ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแก่โจทก์คดีนี้ กรณีไม่ต้องด้วย ป.พ.พ.มาตรา 168 (เดิม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7304/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนการบังคับคดีเมื่อลูกหนี้หาประกันมาให้พอใจศาล แม้เป็นการวางตามคำสั่งศาลอุทธรณ์
โจทก์ชนะคดีในศาลชั้นต้นและโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ถูกยึดไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2)แต่โจทก์ก็ต้องงดการบังคับคดีไว้เพราะจำเลยอุทธรณ์และได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ตามมาตรา 231 วรรคสี่ โดยจำเลยได้ทำสัญญาประกันวางหลักประกันเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์แล้ว การวางหลักประกันของจำเลยดังกล่าว แม้จะเป็นการวางตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ก็ตามก็ถือได้ว่า จำเลยได้หาประกันมาให้จนเป็นที่พอใจของศาลสำหรับจำนวนเงินพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีตามมาตรา 295(1) แล้ว จึงมีเหตุให้ถอนการบังคับคดีโดยถอนการยึดทรัพย์ดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 696/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจงใจประวิงคดีและการงดสืบพยาน
ผู้ร้องขอเลื่อนการสืบพยานผู้ร้องตั้งแต่วันนัดสืบพยานผู้ร้องนัดแรกติดต่อกันมาสี่ครั้ง ในวันนัดครั้งที่ 5 ผู้ร้องทั้งสามไม่มาศาล และทนายผู้ร้องยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความ พฤติการณ์ของผู้ร้องดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการจงใจประวิงคดี ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานผู้ร้องจึงชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่าการที่ทนายผู้ร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความให้ผู้ร้องทั้งสามเป็นการจงใจที่จะประวิงคดีและเห็นไม่สมควรอนุญาตให้ทนายผู้ร้องถอนตัว จึงไม่จำเป็นที่ศาลจะต้องสอบถามผู้ร้องทั้งสามก่อน ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานผู้ร้องทั้งสามและพิพากษาคดีไปจึงชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่าการที่ทนายผู้ร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายความให้ผู้ร้องทั้งสามเป็นการจงใจที่จะประวิงคดีและเห็นไม่สมควรอนุญาตให้ทนายผู้ร้องถอนตัว จึงไม่จำเป็นที่ศาลจะต้องสอบถามผู้ร้องทั้งสามก่อน ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานผู้ร้องทั้งสามและพิพากษาคดีไปจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6920/2538 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาคดีต้องเชื่อมโยงกับประโยชน์ที่พิพาทจริง
การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 264 นั้น คู่ความฝ่ายใดจะร้องขอก็ได้ แต่จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอ เพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันในคดีนั้นได้รับความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาหรือเพื่อความสะดวกในการบังคับคดีตามคำพิพากษา
โจทก์และจำเลยทั้งสองพิพาทกันเกี่ยวกับหุ้น โดยโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองซื้อหุ้นของโจทก์ไว้โดยไม่ชอบ จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสองซื้อหุ้นของโจทก์ไว้โดยชอบ จำเลยทั้งสองมิได้ฟ้องแย้งเรียกเงินปันผลของหุ้นพิพาทมาด้วย ซึ่งผลของคดีถ้าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายชนะ ศาลก็เพียงแต่พิพากษายกฟ้องโจทก์ไปตามคำขอท้ายคำให้การของจำเลยทั้งสองเท่านั้น ไม่มีผลบังคับไปถึงเงินปันผลอันเป็นผลประโยชน์ของหุ้นพิพาทตามที่จำเลยทั้งสองร้องขอคุ้มครองได้ คำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 264
โจทก์และจำเลยทั้งสองพิพาทกันเกี่ยวกับหุ้น โดยโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองซื้อหุ้นของโจทก์ไว้โดยไม่ชอบ จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสองซื้อหุ้นของโจทก์ไว้โดยชอบ จำเลยทั้งสองมิได้ฟ้องแย้งเรียกเงินปันผลของหุ้นพิพาทมาด้วย ซึ่งผลของคดีถ้าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายชนะ ศาลก็เพียงแต่พิพากษายกฟ้องโจทก์ไปตามคำขอท้ายคำให้การของจำเลยทั้งสองเท่านั้น ไม่มีผลบังคับไปถึงเงินปันผลอันเป็นผลประโยชน์ของหุ้นพิพาทตามที่จำเลยทั้งสองร้องขอคุ้มครองได้ คำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 264
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6916/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลายื่นคำให้การที่ไม่ถูกต้อง และผลกระทบต่อกระบวนการพิจารณา
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การโดยขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ด้วย แต่คำร้องดังกล่าวระบุชัดว่าเป็นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การของจำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว มิใช่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การโดยมิได้แต่งทนายความให้ถูกต้องอันจะต้องพิจารณาบทบัญญัติแห่งป.วิ.พ. มาตรา 18 และมิใช่กรณีที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 จะพึงให้สัตยาบันในภายหลังได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของจำเลยที่ 2 ให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ด้วย และมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 เป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งตามพฤติการณ์ยังไม่อาจถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจอันเป็นอำนาจของศาลเองอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำให้การ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับคำให้การและสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 เนื่องจากมิได้ยื่นคำให้การภายในกำหนด 15 วัน ตามกฎหมาย จึงเท่ากับศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวทั้งหมด ซึ่งในกรณีนี้โจทก์มิได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ และการที่โจทก์ยื่นคำร้อง ขอให้ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ 3 ถึงที่ 11ขาดนัดยื่นคำให้การ ก็มิใช่ข้อค้านเรื่องผิดระเบียบอันจะต้องยกขึ้นกล่าวไม่ช้ากว่า8 วัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง แต่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยอาศัยอำนาจของศาลเอง ตามมาตรา 27 วรรคแรกซึ่งไม่อยู่ในบังคับของระยะเวลา 8 วัน ตามมาตรา 27 วรรคสอง