พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,361 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7907/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการค้ำประกัน: ค้ำทั้งหมดรวมดอกเบี้ย ไม่จำกัดวงเงิน
ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำให้ไว้แก่โจทก์ ระบุว่าเนื่องในการที่โจทก์ยอมให้บริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งต่อไปในสัญญานี้เรียกว่าลูกหนี้กู้ยืมเงินหรือก่อหนี้สินประเภทต่าง ๆ เช่น ขายลดเช็ค ฯลฯ จำเลยที่ 2 ยอมเข้าค้ำประกันชำระหนี้ดังกล่าวมาของลูกหนี้ ภายในวงเงิน 2,500,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ตลอดจนเงื่อนไขต่าง ๆ ในสัญญาที่ก่อให้เกิดภาระหนี้นั้น ไม่ว่าหนี้เครดิตสินเชื่อหรือความรับผิดชอบนั้นจะมีอยู่แล้วในเวลานี้หรือต่อไปในภายหน้า ทั้งนี้จนกว่าเจ้าหนี้ (โจทก์) จะได้รับชำระหนี้หรือได้รับชดใช้โดยสิ้นเชิง ข้อความดังกล่าวนี้แจ้งชัดว่าจำเลยที่ 2 มิได้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ในวงเงินจำกัดเพียง 2,500,000 บาท แต่รวมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันดังกล่าวด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7907/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันที่ระบุวงเงินรวมดอกเบี้ย
ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำให้ไว้แก่โจทก์ระบุว่าเนื่องในการที่โจทก์ยอมรับบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งต่อไปในสัญญานี้เรียกว่าลูกหนี้กู้ยืมเงินหรือก่อหนี้สินประเภทต่าง ๆ เช่น ขาดลดเช็ค ฯลฯ จำเลยที่ 2 ยอมเข้าค้ำประกันหนี้ดังกล่าวมาของลูกหนี้ ภายในวงเงิน 2,500,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ตลอดจนเงื่อนไขต่าง ๆในสัญญาที่ก่อให้เกิดภาระหนี้นั้น ไม่ว่าหนี้เครดิตสินเชื่อหรือความรับผิดนั้นจะมีอยู่แล้วในเวลานี้หรือต่อไปในภายหน้าทั้งนี้จนกว่าเจ้าหนี้ (โจทก์) จะได้รับชำระหนี้หรือได้รับชดใช้โดยสินเชิง ข้อความดังกล่าวนี้แจ้งชัดว่าจำเลยที่ 2มิได้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ในวงเงินจำกัดเพียง 2,500,000บาท แต่รวมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 ต่อปี ของวงเงินค้ำประกันดังกล่าวด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7863/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาให้ทรัพย์สินแทนเงินกู้: โมฆะหากราคาไม่สมเหตุสมผล
หนังสือสัญญากู้ยืมเงินมีใจความว่า ถ้าโจทก์ผู้กู้ไม่นำเงินมาชำระคืนแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้กู้ตามกำหนด ผู้กู้ยืนยอมยกบ้านให้แก่ผู้ร้อง และสัญญากู้ยืมไม่ได้กำหนดเวลาชำระเงินคืนไว้ ความตกลงดังกล่าวเป็นกรณีที่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้กู้ยอมรับเอาทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่ให้กู้ยืมโดยไม่ได้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งทรัพย์สินนั้น ในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบซึ่งขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 656 วรรคสอง ความตกลงของโจทก์และผู้ร้องตามสัญญาข้อนี้จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 656 วรรคสาม ดังนั้น แม้โจทก์ยื่นคำแถลงรวมทั้งเบิกความยืนยันว่าขอยกบ้านให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ บ้านจึงยังคงเป็นของโจทก์ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7774/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงอนุญาโตตุลาการเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนฟ้องคดี การฟ้องก่อนการชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อกำหนดให้นำกฎของแก๊ฟต้า ข้อที่ 119 มาใช้บังคับ โดยต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดก่อนตามกฎข้อบังคับอนุญาโตตุลาการที่ 125 และเป็นที่ตกลงกันโดยชัดแจ้งว่าเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนสำหรับสิทธิของคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในการที่จะฟ้องร้องหรือดำเนินการตามกฎหมายแก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้มีคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการก่อนจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎดังกล่าว กรณีต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 เมื่อจำเลยส่งเอกสารทั้งหมดที่จะใช้อ้างอิงในคดีต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน ในกรณีที่ไม่มีการชี้สองสถานแม้จะเป็นชั้นไต่สวนคำร้องก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ไม่คัดค้านเอกสารดังกล่าวว่าไม่ถูกต้องอย่างไร หรือไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่ตนทั้งมิได้นำสืบแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น ศาลย่อมฟังเอกสารนั้นได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ยอมปฏิบัติและยอมรับในกระบวนพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทของอนุญาโตตุลาการตามสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว แต่โจทก์กลับนำคดีมาฟ้องต่อศาลไทยเสียก่อน ที่อนุญาโตตุลาการจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาดโจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องและมิใช่การตัดสิทธิศาลไทยแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7751/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำทางแพ่ง: การเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูคนละช่วงเวลาไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ
คดีนี้และคดีก่อนมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับเดียวกันว่าจำเลยผิดสัญญาในการจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์หรือไม่แต่การวินิจฉัยประเด็นแห่งมูลหนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในคดีนี้แตกต่างจากคดีก่อนเพราะเป็นหนี้คนละคราวกันซึ่งโจทก์ไม่อาจเรียกร้องมาในคดีก่อนได้เนื่องจากหนี้ดังกล่าวยังไม่ถึงกำหนดฉะนั้นประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่จ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูประจำเดือนมีนาคม2528ถึงเดือนกรกฎาคม2534และต้องจ่ายในอนาคตต่อไปหรือไม่จึงยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คชำระหนี้ตามสัญญาที่ไม่สามารถบังคับได้ ไม่ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทสองฉบับชำระค่าจ้างถมดินทำถนนให้ส. โดยสัญญาว่าจ้างถมที่ทำถนนระบุว่าถ้า ส. ผู้รับจ้างถมที่ดินไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดจำเลยผู้ว่าจ้างสามารถอายัดเช็คทั้งสองฉบับได้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้นดังนี้เมื่อ ส.มิได้ถมที่ดินทำถนนให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญาจำเลยย่อมมี สิทธิยึดหน่วงการชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับได้ตามกฎหมายรวมทั้งมี สิทธิอายัดการใช้เงินตามเช็คทั้งสองฉบับต่อธนาคารตามสัญญาอันเป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายและการที่ ส.ถมดินทำถนนไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญา ส. ย่อมไม่อาจบังคับให้จำเลยชำระหนี้เต็มตามสัญญาได้แม้จำเลยจะสั่งจ่ายเช็คทั้งสองฉบับแต่ก็เป็นการชำระหนี้ตามสัญญาใน มูลหนี้อันเดียวกันไม่สามารถแบ่งแยกกันได้การออกเช็คของจำเลยจึงเป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่ไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมายระคนอยู่ในจำนวนหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายจำเลยจึง ไม่มี ความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดหน่วงการชำระเงินเช็คเมื่อผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา และผลต่อความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทสองฉบับชำระค่าจ้างถมดินทำถนนให้ส. โดยสัญญาว่าจ้างระบุว่าถ้าส. ผู้รับจ้างถมที่ดินไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดจำเลยผู้ว่าจ้างสามารถอายัดเช็คทั้งสองฉบับได้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้นดังนี้เมื่อส. มิได้ถมดินให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญาจำเลยย่อมมีสิทธิยึดหน่วงการชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับได้ตามกฎหมายรวมทั้งมีสิทธิอายัดการใช้เงินตามเช็คทั้งสองฉบับต่อธนาคารตามสัญญาอันเป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายและการที่ส. ถมดินทำถนนไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญาส. ย่อมไม่อาจบังคับให้จำเลยชำระหนี้เต็มตามสัญญาได้แม้จำเลยจะสั่งจ่ายเช็คสองฉบับแต่เป็นการชำระหนี้ตามสัญญาในมูลหนี้อันเดียวกันไม่สามารถแบ่งแยกกันได้การออกเช็คของจำเลยจึงเป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่ไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4ระคนอยู่ในจำนวนหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายจำเลยจึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7697/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายห้องชุด: การเปลี่ยนแปลงพื้นที่และผลผูกพันตามสัญญา
การให้งดสืบพยานเป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลยพินิจสั่งตามสมควรแก่กรณีเป็นเรื่อง ๆ ไป ถ้าข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้วก็ไม่จำต้องนำสืบพยานหลักฐานใดอีก กรณีคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้อง คำให้การเอกสาร และคำเบิกความรับรองเอกสารของโจทก์ เห็นว่าเป็นการเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว จึงมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ต่อไป เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลยพินิจทั้งนี้ก็เพื่อให้คดีดำเนินไปโดยรวดเร็วและยุติธรรม ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 86วรรคสอง คำสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้น จึงชอบแล้ว
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด เนื้อที่ประมาณ157 ตารางเมตร เมื่อจำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารชุดเสร็จปรากฏว่าห้องชุดมีเนื้อที่206 ตารางเมตรเศษ ซึ่งเกินกว่าร้อยละ 5 ของพื้นที่ที่กำหนดไว้ในสัญญา โจทก์จึงบอกปัดไม่ยอมรับมอบและชำระราคาห้องชุดดังกล่าว แต่จะขอรับมอบในพื้นที่ 157ตารางเมตร พร้อมกับชำระราคาส่วนที่เหลือตามพื้นที่เดิม แต่เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายระบุว่า ผู้จะขายตกลงกับผู้จะซื้อห้องชุดเลขที่ 205 ชั้นที่ 2 คิดเป็นพื้นที่อันเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลจำนวนประมาณ 157 ตารางเมตร ตามที่ปรากฏในแผนผังของอาคารชุดที่ทำเครื่องหมายเส้นสีแดงที่แนบท้ายสัญญาและหากพื้นที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง คู่สัญญาตกลงให้เพิ่มหรือลดราคาลงตามอัตราส่วนของราคาซื้อขายดังกล่าวข้างต้น เห็นได้ว่าคู่กรณีคือโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีเจตนาจะซื้อจะขายห้องชุดกัน โดยมิได้ถือเป็นสาระ-สำคัญว่าพื้นที่ของห้องชุดจะต้องมีเนื้อที่เพียงประมาณ 157 ตารางเมตร เท่านั้นหากพื้นที่เพิ่มหรือลดลง คู่สัญญาตกลงกันให้เพิ่มหรือลดราคาลงตามอัตราส่วนของราคาที่ตกลงซื้อขายกัน ข้อสัญญาดังกล่าวจึงใช้บังคับได้ บทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.มาตรา 466 วรรคสอง มิใช่ข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อปรากฏชัดว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงสัญญาอันเป็นข้อยกเว้นมิให้ใช้ข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้นบังคับ โจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันกันตามข้อสัญญาที่ตกลงกัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกปัดไม่รับพื้นที่ห้องชุดที่เพิ่มขึ้นและเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 มอบห้องชุดในพื้นที่ที่ประมาณไว้ตามสัญญา ส่วนจำเลยที่ 1 เมื่อสร้างห้องชุดเสร็จพร้อมส่งมอบแก่โจทก์ แต่โจทก์เพิกเฉยไม่ยอมชำระราคาห้องชุดดังกล่าวภายในกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 1 แจ้งให้ทราบโดยไม่มีเหตุจะอ้างได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด เนื้อที่ประมาณ157 ตารางเมตร เมื่อจำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารชุดเสร็จปรากฏว่าห้องชุดมีเนื้อที่206 ตารางเมตรเศษ ซึ่งเกินกว่าร้อยละ 5 ของพื้นที่ที่กำหนดไว้ในสัญญา โจทก์จึงบอกปัดไม่ยอมรับมอบและชำระราคาห้องชุดดังกล่าว แต่จะขอรับมอบในพื้นที่ 157ตารางเมตร พร้อมกับชำระราคาส่วนที่เหลือตามพื้นที่เดิม แต่เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายระบุว่า ผู้จะขายตกลงกับผู้จะซื้อห้องชุดเลขที่ 205 ชั้นที่ 2 คิดเป็นพื้นที่อันเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลจำนวนประมาณ 157 ตารางเมตร ตามที่ปรากฏในแผนผังของอาคารชุดที่ทำเครื่องหมายเส้นสีแดงที่แนบท้ายสัญญาและหากพื้นที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง คู่สัญญาตกลงให้เพิ่มหรือลดราคาลงตามอัตราส่วนของราคาซื้อขายดังกล่าวข้างต้น เห็นได้ว่าคู่กรณีคือโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีเจตนาจะซื้อจะขายห้องชุดกัน โดยมิได้ถือเป็นสาระ-สำคัญว่าพื้นที่ของห้องชุดจะต้องมีเนื้อที่เพียงประมาณ 157 ตารางเมตร เท่านั้นหากพื้นที่เพิ่มหรือลดลง คู่สัญญาตกลงกันให้เพิ่มหรือลดราคาลงตามอัตราส่วนของราคาที่ตกลงซื้อขายกัน ข้อสัญญาดังกล่าวจึงใช้บังคับได้ บทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.มาตรา 466 วรรคสอง มิใช่ข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อปรากฏชัดว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงสัญญาอันเป็นข้อยกเว้นมิให้ใช้ข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้นบังคับ โจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันกันตามข้อสัญญาที่ตกลงกัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกปัดไม่รับพื้นที่ห้องชุดที่เพิ่มขึ้นและเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 มอบห้องชุดในพื้นที่ที่ประมาณไว้ตามสัญญา ส่วนจำเลยที่ 1 เมื่อสร้างห้องชุดเสร็จพร้อมส่งมอบแก่โจทก์ แต่โจทก์เพิกเฉยไม่ยอมชำระราคาห้องชุดดังกล่าวภายในกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 1 แจ้งให้ทราบโดยไม่มีเหตุจะอ้างได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7649/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงทบดอกเบี้ยค้างชำระเข้าต้นเงิน ไม่อยู่ในบังคับดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย
สัญญากู้ยืมตกลงกันเป็นหนังสือให้เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่า1ปีทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นมีผลใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา655วรรคหนึ่งและไม่อยู่ในบังคับข้อห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดตามมาตรา224วรรคสองโจทก์จึงมีสิทธินำดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่า1ปีทบเข้ากับต้นเงินแล้วคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นได้ทุกครั้งที่มีการค้างชำระดอกเบี้ยถึง1ปีแม้ว่าจะครบกำหนดชำระคืนและลูกหนี้ผิดนัดแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7641/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่เคลือบคลุม: การบรรยายลักษณะการกระทำ, สัญญา, และความเสียหายอย่างชัดเจนเพียงพอต่อการพิจารณา
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยที่ 1 นั้นมิได้ให้การต่อสู้ในประเด็นข้อนี้ไว้ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฎีกา และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์รวมถึงคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น เป็นการไม่ชอบ
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายในตอนแรกว่าจำเลยที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์เป็นการกล่าวอ้างถึงลักษณะการกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำในที่ดินของโจทก์โดยที่โจทก์ยังไม่ได้ยินยอม แต่เมื่อจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3ตกลงซื้อที่ดินจากโจทก์แล้วโจทก์ก็ได้ยินยอมให้สร้างอ่างเก็บน้ำในที่ดินของโจทก์เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่าเมื่อจำเลยที่ 2 ตกลงซื้อที่ดินของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ก็รับโอนที่ดินไปจากโจทก์เป็นบางส่วน และต่อมาไม่รับโอนส่วนที่ดินที่เหลือทั้งหมดและไม่ชำระราคาค่าซื้อที่ดินที่เหลือทั้งหมดให้โจทก์ ซึ่งคิดเป็นเงิน 458,250บาท นับว่าเป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดว่าจำเลยทั้งสามผิดสัญญา และโจทก์ได้บรรยายฟ้องต่อไปว่า การที่จำเลยผิดสัญญานี้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากการไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินที่จำเลยทั้งสามยังไม่รับโอนและชำระราคาให้โจทก์เป็นเงิน 72,000 บาท และอีกปีละ 18,000 บาท ด้วย ซึ่งเป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดถึงความเสียหายที่โจทก์ได้รับเพราะการที่จำเลยทั้งสามผิดสัญญาแล้วและในตอนท้ายโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะกระทรวงต้องรับผิดต่อการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย ซึ่งเป็นการบรรยายถึงการที่จำเลยที่ 2และที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างไรแล้ว ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ทั้งหมดได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ อีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายในตอนแรกว่าจำเลยที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์เป็นการกล่าวอ้างถึงลักษณะการกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำในที่ดินของโจทก์โดยที่โจทก์ยังไม่ได้ยินยอม แต่เมื่อจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3ตกลงซื้อที่ดินจากโจทก์แล้วโจทก์ก็ได้ยินยอมให้สร้างอ่างเก็บน้ำในที่ดินของโจทก์เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องต่อไปว่าเมื่อจำเลยที่ 2 ตกลงซื้อที่ดินของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ก็รับโอนที่ดินไปจากโจทก์เป็นบางส่วน และต่อมาไม่รับโอนส่วนที่ดินที่เหลือทั้งหมดและไม่ชำระราคาค่าซื้อที่ดินที่เหลือทั้งหมดให้โจทก์ ซึ่งคิดเป็นเงิน 458,250บาท นับว่าเป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดว่าจำเลยทั้งสามผิดสัญญา และโจทก์ได้บรรยายฟ้องต่อไปว่า การที่จำเลยผิดสัญญานี้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจากการไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินที่จำเลยทั้งสามยังไม่รับโอนและชำระราคาให้โจทก์เป็นเงิน 72,000 บาท และอีกปีละ 18,000 บาท ด้วย ซึ่งเป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดถึงความเสียหายที่โจทก์ได้รับเพราะการที่จำเลยทั้งสามผิดสัญญาแล้วและในตอนท้ายโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะกระทรวงต้องรับผิดต่อการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย ซึ่งเป็นการบรรยายถึงการที่จำเลยที่ 2และที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างไรแล้ว ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ทั้งหมดได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ อีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม