พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,003 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4577/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิโอนที่ดินตามมาตรา 31 แม้บอกเลิกสัญญาซื้อขายแล้ว ก็ยังต้องติดเงื่อนไขห้ามโอน
ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของโจทก์ แต่ต่อมาโจทก์ขายให้แก่จำเลยและจำเลยได้ขอออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์มีชื่อจำเลย เป็นเจ้าของ และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวตกอยู่ ภายใต้เงื่อนไขการห้ามมิให้โอนภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 แม้จำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายและโจทก์บอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้วก็ตาม แต่เมื่อประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 วรรคหนึ่ง ไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุว่าห้ามมิให้ผู้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินดังกล่าวโอนที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่นภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะการโอนโดยทางนิติกรรมแต่ในทางตรงกันข้ามกลับมีบัญญัติไว้ในมาตรา 31 วรรคสองว่าความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ที่ดินนั้นตกทอดทางมรดก ซึ่งการตกทอดทางมรดกก็มิใช่นิติกรรม จึงเป็น การเน้นให้เห็นเจตนารมณ์ของบทบัญญัติดังกล่าวว่า แม้การที่ ที่ดินซึ่งอยู่ในเงื่อนไขห้ามโอนนี้ต้องเปลี่ยนมือไปเพราะ การตกทอดทางมรดกซึ่งเป็นไปโดยผลของกฎหมายมรดกก็ยังต้อง บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ ดังนั้นการใดที่เป็นเหตุให้ที่ดิน ซึ่งอยู่ในเงื่อนไขห้ามโอนโอนจะต้องโอนไปและการนั้น มิได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ในมาตรา 31 วรรคสอง ย่อมไม่อาจ โอนที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยการนั้นได้ในทุกกรณี โจทก์จึง ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทกลับมาเป็น ชื่อของโจทก์ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4484/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นสัญญาซื้อขาย: ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 177
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ตามสัญญาและรับชำระเงินจากโจทก์ จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์แกล้งฟ้องคดีนี้เพื่อประวิงการออกไปจากที่-พิพาท และสิ่งปลูกสร้างซึ่งจำเลยได้ใช้สิทธิบังคับคดีให้โจทก์และบริวารออกไปในคดีอื่น การกระทำของโจทก์เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลย ทำให้จำเลยเสียหายขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการตั้งประเด็นว่าการฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการแกล้งฟ้อง และประวิงการบังคับคดีในคดีอื่นที่จำเลยใช้สิทธิบังคับคดีเอาแก่โจทก์ เป็นการละเมิดต่อจำเลยและเรียกค่าเสียหายซึ่งเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องโจทก์ที่ตั้งประเด็นว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อขาย ขอให้บังคับตามสัญญาดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายเลิกกันได้เมื่อผู้ซื้อไม่ชำระหนี้ตามกำหนด และจำเลยส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถามหนี้ชอบแล้ว
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินและบ้านพิพาทให้โจทก์ในราคา 1,350,000 บาท ชำระเงินมัดจำ 50,000 บาทส่วนที่เหลือแบ่งชำระโดยจะชำระ 800,000 บาทเมื่อโจทก์ได้นำทรัพย์พิพาทเข้าสถาบันการเงินได้และจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในวันนั้น เงินอีก500,000 บาท ผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 30,000 บาทนับถัดจากเดือนที่นำทรัพย์พิพาทเข้าสถาบันการเงินได้จนกว่าจะครบ การชำระหนี้ของโจทก์ไม่ได้กำหนดเวลากันไว้ แต่ตามข้อตกลงที่ว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์เข้าปรับปรุงซ่อมแซมตกแต่งทรัพย์พิพาทได้ทันทีหลังจากทำสัญญาจะซื้อจะขายย่อมแสดงว่าโจทก์ก็มีหน้าที่ชำระหนี้ในส่วนที่ค้างในทันทีเช่นกันแต่การที่โจทก์ชำระหนี้ดังกล่าวได้นั้น ตามสัญญากำหนดให้โจทก์เป็นผู้ติดต่อขอกู้เงินจากสถาบันการเงินซึ่งจะต้องมีการติดต่อกับบุคคลหลายคนหลายฝ่าย และยังจะต้องใช้เอกสารเป็นหลักฐานมิใช่น้อย จึงควรให้เวลาพอสมควร แต่โจทก์เพิ่งจะไปติดต่อขอกู้เงินจากธนาคาร เมื่อเวลาผ่านพ้นไปถึง 4 เดือนเศษหากโจทก์ขวนขวายเพื่อจะชำระหนี้ให้จำเลยอย่างจริงจังโจทก์ก็ น่าจะดำเนินการเสียแต่โดยเร็ว หรืออย่างช้าก็ในช่วงที่โจทก์เข้าไปปรับปรุงซ่อมแซมตกแต่งทรัพย์พิพาทเพื่อให้จำเลยเห็นว่าโจทก์อยู่ในฐานะที่จะชำระหนี้ให้จำเลยได้ แต่โจทก์ก็หาได้กระทำไม่ กลับได้ความว่ามีเจ้าหนี้ของโจทก์ที่ซื้อวัสดุอุปกรณ์เพื่อไปซ่อมแซมตกแต่งบ้านพิพาทไปทวงหนี้ให้จำเลยชำระหลายราย ดังนั้นเมื่อสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์พิพาทมิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ในส่วนที่ค้างอยู่ และกรณีมีเหตุอันสมควรที่จะทำให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์อยู่ในฐานะที่จะชำระหนี้ไม่ได้จำเลยจึงมีสิทธิบอกกล่าวให้ชำระหนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 ทนายจำเลยได้มีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้โดยส่งหนังสือดังกล่าวไปทางไปรษณีย์ลงทะเบียน และในวันรุ่งขึ้นได้ส่งถึงผู้รับแล้ว ซึ่งผู้รับไปรษณีย์ภัณฑ์ลงทะเบียนหาได้จำกัดเฉพาะผู้มีชื่อผู้รับจะต้องเป็นผู้รับด้วยตนเองเสมอไปไม่ แม้บุคคลอื่นซึ่งอยู่ในบ้านเรือนเดียวกันและมีอายุเกินกว่า 7 ปี ก็รับแทนกันได้ ดังนั้นเมื่อมีบุคคลอื่นซึ่งอยู่ในบ้านเรือนเดียวกัน และมีอายุกว่า 7 ปีเป็นผู้รับแทนไว้ ก็ต้องถือว่าจำเลยได้ส่งคำบอกกล่าวทวงถามและเลิกสัญญาโดยชอบแล้ว จำเลยได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว โจทก์จำเลยต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าซื้อที่ชำระให้จำเลยไปบางส่วนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่เวลาที่ได้รับไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4193/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาให้กรรมสิทธิ์ร่วมที่ยังมิได้จดทะเบียน และการหลอกลวงในการซื้อขายที่ดิน
การที่จำเลยเพียงทำหนังสือยกที่ดินให้กรุงเทพมหานครสร้างโรงพยาบาลโดยยังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และจำเลยทำสัญญาขายที่ดินให้โจทก์โดยบอกว่าที่ดินจำเลยติดโรงพยาบาล จำเลยมีสิทธิผ่านได้ ต่อมากรุงเทพ-มหานคร ไม่ได้ดำเนินการสร้างโรงพยาบาล จำเลยย่อมนำที่ดินไปจำหน่ายอย่างใดอย่างหนึ่งในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์
สัญญาให้กรรมสิทธิ์ร่วมเอกสารหมาย จ.3 ที่จำเลยจะให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 52827 บางส่วนแก่โจทก์สัญญาจะให้หรือคำมั่นจะให้อสังหาริมทรัพย์ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวย่อมตกอยู่ภายใต้บังคับของ ป.พ.พ.มาตรา 526 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเฉพาะ ไม่อาจปรับบทมาตรา 456 วรรคสอง โจทก์ไม่อาจฟ้องร้องบังคับตามสัญญาเอกสารหมาย จ.3 ได้
ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาให้กรรมสิทธิ์ร่วมเป็นการระงับข้อพิพาท จึงเป็นสัญญาประนีประนอมนั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเลยว่าการที่จำเลยทำสัญญาดังกล่าวเป็นการระงับข้อพิพาท และศาลชั้นต้นก็กำหนดประเด็นเพียงว่าจำเลยทำสัญญาให้กรรมสิทธิ์ร่วมในที่พิพาทแก่โจทก์โดยสำคัญผิดและเป็นโมฆะหรือไม่เท่านั้น ฎีกาข้อนี้ของโจทก์เป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
สัญญาให้กรรมสิทธิ์ร่วมเอกสารหมาย จ.3 ที่จำเลยจะให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 52827 บางส่วนแก่โจทก์สัญญาจะให้หรือคำมั่นจะให้อสังหาริมทรัพย์ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวย่อมตกอยู่ภายใต้บังคับของ ป.พ.พ.มาตรา 526 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเฉพาะ ไม่อาจปรับบทมาตรา 456 วรรคสอง โจทก์ไม่อาจฟ้องร้องบังคับตามสัญญาเอกสารหมาย จ.3 ได้
ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาให้กรรมสิทธิ์ร่วมเป็นการระงับข้อพิพาท จึงเป็นสัญญาประนีประนอมนั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเลยว่าการที่จำเลยทำสัญญาดังกล่าวเป็นการระงับข้อพิพาท และศาลชั้นต้นก็กำหนดประเด็นเพียงว่าจำเลยทำสัญญาให้กรรมสิทธิ์ร่วมในที่พิพาทแก่โจทก์โดยสำคัญผิดและเป็นโมฆะหรือไม่เท่านั้น ฎีกาข้อนี้ของโจทก์เป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4159/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีขับไล่ที่ดินพิพาท: สัญญาซื้อขายบังคับไม่ได้ ฟังได้ว่าที่ดินเป็นของโจทก์ มีอำนาจฟ้องขับไล่
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยอันเป็นการโต้แย้ง กรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่ พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ. 2511 ซึ่งห้ามโอนมีกำหนดเวลาก็เฉพาะกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ส่วนสิทธิครอบครองและสิทธิทำกินในที่ดินโอนกันได้นั้นเป็นเรื่องที่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่ มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4138/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับกับการบอกเลิกสัญญา: สิทธิเรียกร้องเบี้ยปรับรายวันย่อมสิ้นสุดลงเมื่อมีการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา
สัญญาซื้อขายข้อ 9 ระบุว่า "ข้อ 9 เบี้ยปรับสำหรับการส่งของล่าช้า หากผู้ขายมิได้ส่งมอบของให้แก่ผู้ซื้อได้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลาส่งมอบตามที่ระบุไว้ในสัญญา ไม่ว่าความล่าช้านั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุใดก็ตาม... ผู้ซื้อย่อมมีสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับจากผู้ขายเป็นเงินวันละเศษ 1 ส่วน 5 ของหนึ่งส่วนร้อย (0.2%) ต่อวัน หรือส่วนของวันของราคาตามสัญญาของหน่วยสำเร็จแต่ละหน่วยที่ส่งมอบไม่ครบถ้วน ทั้งนี้ จนกว่าผู้ขายได้ส่งมอบของให้ได้ครบถ้วนตามสัญญา..." และข้อ 11 กำหนดว่า หากผู้ขายละเลยการปฏิบัติอย่างใด ๆ ตามข้อตกลงในสัญญา ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและผู้ขายจะต้องรับผิดชอบสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะเหตุทำผิดสัญญา นอกจากนี้ ผู้ซื้อยังจะได้รับค่าชดเชยจากเอกสารค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาที่ผู้ซื้อถืออยู่ด้วย ดังนี้ ตามสัญญาข้อ 9 เป็นการกำหนดเบี้ยปรับในกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาไม่ส่งมอบของแก่ผู้ซื้อให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลาตามสัญญาและผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญากับยอมให้ผู้ขายนำสิ่งของที่ซื้อขายมาส่งมอบต่อไป ผู้ซื้อจึงจะมีสิทธิเรียกร้องเอาเบี้ยปรับรายวันจากผู้ขายตามสัญญาข้อ 9 ได้ นับแต่วันครบกำหนดส่งมอบจนถึงวันที่ส่งมอบของแก่ผู้ซื้อครบถ้วนตามสัญญา
จำเลยที่ 1 ผู้ขายไม่ส่งมอบของแก่โจทก์ผู้ซื้อเลย และโจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาตามสัญญาซื้อขายข้อ 11 ไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับรายวันจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญาซื้อขายข้อ 9 ได้อีก
จำเลยที่ 1 ผู้ขายไม่ส่งมอบของแก่โจทก์ผู้ซื้อเลย และโจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาตามสัญญาซื้อขายข้อ 11 ไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับรายวันจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญาซื้อขายข้อ 9 ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4138/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบี้ยปรับสัญญาซื้อขาย: สิทธิเรียกร้องเบี้ยปรับรายวันสิ้นสุดเมื่อบอกเลิกสัญญา
สัญญาซื้อขายข้อ 9 ระบุว่า "ข้อ 9 เบี้ยปรับสำหรับการส่งของล่าช้า หากผู้ขายมิได้ส่งมอบของให้แก่ผู้ซื้อได้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลาส่งมอบตามที่ระบุไว้ในสัญญาไม่ว่าความล่าช้านั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุใดก็ตาม ผู้ซื้อย่อมมีสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับจากผู้ขายเป็นเงินวันละเศษ 1 ส่วน 5 ของหนึ่งส่วนร้อย (0.2%) ต่อวัน หรือส่วนของวันของราคาตามสัญญาของหน่วยสำเร็จแต่ละหน่วยที่ส่งมอบไม่ครบถ้วน ทั้งนี้ จนกว่าผู้ขายได้ส่งมอบของให้ได้ครบถ้วนตามสัญญา" และข้อ 11 กำหนดว่า หากผู้ขายละเลยการปฏิบัติอย่างใด ๆ ตามข้อตกลงในสัญญา ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและผู้ขายจะต้องรับผิดชอบสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะเหตุทำผิดสัญญา นอกจากนี้ ผู้ซื้อยังจะได้รับ ค่าชดเชยจากเอกสารค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาที่ ผู้ซื้อถืออยู่ด้วย ดังนี้ ตามสัญญาข้อ 9 เป็นการกำหนด เบี้ยปรับในกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาไม่ส่งมอบของแก่ผู้ซื้อ ให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลาตามสัญญาและผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิ บอกเลิกสัญญากับยอมให้ผู้ขายนำสิ่งของที่ซื้อขายมาส่งมอบต่อไป ผู้ซื้อจึงจะมีสิทธิเรียกร้องเอาเบี้ยปรับรายวันจากผู้ขาย ตามสัญญาข้อ 9 ได้ นับแต่วันครบกำหนดส่งมอบส่งมอบจนถึง วันที่ส่งมอบของแก่ผู้ซื้อครบถ้วนตามสัญญา จำเลยที่ 1 ผู้ขายไม่ส่งมอบของแก่โจทก์ผู้ซื้อเลยและโจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาตามสัญญาซื้อขายข้อ 11 ไปแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับรายวันจากจำเลยที่ 1ตามสัญญาซื้อขายข้อ 9 ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3984/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน: การปฏิบัติตามสัญญา, ความสามารถในการชำระหนี้, และผลกระทบต่อการผิดสัญญา
โจทก์และจำเลยทั้งสองประสงค์ที่จะปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินต่อกัน แต่การจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เกิดจากเหตุขัดข้อง2 ประการ เหตุประการแรก เจ้าพนักงานที่ดินไม่กล้าตัดสินใจว่าการขายที่ดินเข้าข่ายจะต้องขออนุญาตค้าที่ดินจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตาม ประมวลกฎหมายที่ดินฯ มาตรา 101 ก่อนหรือไม่เป็นการวินิจฉัยสั่งการของเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของจำเลยทั้งสอง การที่เจ้าพนักงานที่ดินไม่กล้าตัดสินใจจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจนกว่าจะได้หารือกรมที่ดินก่อนมิใช่เกิดจากความผิดของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญา เหตุประการที่สอง เรื่องที่ฝ่ายโจทก์เพียงแต่เตรียมตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 3 ฉบับ ที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระเงินกับนำสมุดเงินฝากออมทรัพย์ของ ส. ไปแสดงต่อจำเลยทั้งสองแทนค่าซื้อไว้ก่อน แต่จำเลยทั้งสองไม่ยินยอม ซึ่งตามสัญญาจะซื้อขายที่ดิน โจทก์มีหน้าที่จะต้องชำระเงินที่ค้างชำระทั้งหมดในวันนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์การที่โจทก์พา ส. ไปซื้อที่ดินดังกล่าวแทนโจทก์ แม้จะไม่ใช่เรื่องผิดสัญญาในส่วนของตัวบุคคลผู้ที่จะเป็นผู้ซื้อก็ตามก็เรียกได้ว่าโจทก์และ ส. ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะปฏิบัติการชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินส่วนที่ค้างชำระ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ชอบที่จำเลยทั้งสองจะริบมัดจำได้ตามสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายและการบอกเลิกสัญญา สิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
ตามสัญญาซื้อขายข้าวโพดได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอนตามวันแห่งปฏิทินคือภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ปรากฏว่าในวันที่ 24พฤษภาคม 2527 ก่อนจะครบกำหนดระยะเวลาโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบทางโทรพิมพ์มีข้อความว่า หากข้าวโพดส่วนที่ยังไม่รับมอบตามสัญญาถูกยกเลิกไปจำเลยจะต้องชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 1,033,333.50 บาท กับมีข้อความตอนท้ายว่า การชำระหนี้เต็มจำนวนต้องกระทำภายในวันที่ 31 พฤษภาคม2527 เท่ากับโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญา แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาเป็นสาระสำคัญ เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ภายในเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญา จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดและผิดสัญญา แต่ตามสัญญาไม่ได้ระบุว่า หากจำเลยผิดนัดผิดสัญญา สัญญาซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันที ดังนั้น ตราบใดที่โจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยยังมีผลผูกพันอยู่ จำเลยมีสิทธิขอชำระหนี้ตามสัญญาได้
โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายข้าวโพดเนื่องจากจำเลยผิดสัญญา ระหว่างที่โจทก์ยังไม่บอกเลิกสัญญา จำเลยติดต่อขอรับข้าวโพดจำนวน10,000 เมตริกตัน จากโจทก์โดยจำเลยเพียงแต่มีหนังสือถึงโจทก์ว่าจำเลยจะส่งเจ้าหน้าที่ของจำเลยและเจ้าหน้าที่ของธนาคารไปตรวจสินค้าที่ไซโลเพื่อจำเลยจะขอเบิกเงินจากธนาคารมาชำระค่าข้าวโพดให้โจทก์เท่านั้น ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ขอชำระราคาข้าวโพดทั้งหมดก่อนที่จำเลยจะมารับมอบข้าวโพดจากโจทก์ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์และฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา เมื่อปรากฏในเวลาต่อมาว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายข้าวโพดเนื่องจากจำเลยผิดสัญญา ระหว่างที่โจทก์ยังไม่บอกเลิกสัญญา จำเลยติดต่อขอรับข้าวโพดจำนวน10,000 เมตริกตัน จากโจทก์โดยจำเลยเพียงแต่มีหนังสือถึงโจทก์ว่าจำเลยจะส่งเจ้าหน้าที่ของจำเลยและเจ้าหน้าที่ของธนาคารไปตรวจสินค้าที่ไซโลเพื่อจำเลยจะขอเบิกเงินจากธนาคารมาชำระค่าข้าวโพดให้โจทก์เท่านั้น ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ขอชำระราคาข้าวโพดทั้งหมดก่อนที่จำเลยจะมารับมอบข้าวโพดจากโจทก์ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์และฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา เมื่อปรากฏในเวลาต่อมาว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายข้าวโพด และผลของการบอกเลิกสัญญา
ตามสัญญาซื้อขายข้าวโพดได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอนตามวันแห่งปฏิทินคือภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ปรากฎว่าในวันที่ 24 พฤษภาคม 2527 ก่อนจะครบกำหนดระยะเวลาโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบทางโทรพิมพ์ข้อความว่า หากข้าวโพดส่วนที่ยังไม่รับมอบตามสัญญาถูกยกเลิกไปจำเลยจะต้องชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 1,033,333.50 บาท กับมีข้อความตอนท้ายว่า การชำระหนี้เต็มจำนวนต้องกระทำภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เท่ากับโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญา แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ถือเอากำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาเป็นสาระสำคัญ เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ภายในเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดและผิดสัญญา แต่ตามสัญญาไม่ได้ระบุว่าหากจำเลยผิดนัดผิดสัญญา สัญญาซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีดังนั้น ตราบใดที่โจทก์ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญา สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยยังมีผลผูกพันอยู่ จำเลยมีสิทธิขอชำระหนี้ตามสัญญาได้ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายข้าวโพดเนื่องจากจำเลยผิดสัญญา ระหว่างที่โจทก์ยังไม่บอกเลิกสัญญา จำเลยติดต่อขอรับข้าวโพดจำนวน 10,000 เมตริกตัน จากโจทก์โดยจำเลยเพียงแต่มีหนังสือถึงโจทก์ว่าจำเลยจะส่งเจ้าหน้าที่ของจำเลยและเจ้าหน้าที่ของธนาคารไปตรวจสินค้าที่ไซโล เพื่อจำเลยจะขอเบิกเงินจากธนาคารมาชำระค่าข้าวโพดให้โจทก์เท่านั้นยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ขอชำระราคาข้าวโพดทั้งหมดก่อนที่จำเลยจะมารับมอบข้าวโพดจากโจทก์ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์และฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา เมื่อปรากฎในเวลาต่อมาว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้