คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เจตนา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิดเช็ค: จำเป็นต้องบรรยายถึงมูลหนี้ที่ชัดเจนเพื่อแสดงเจตนาชำระหนี้ที่มีอยู่จริง
บทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534 มาตรา 4 ที่ว่า เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายนั้น เป็นองค์ประกอบความผิด แม้บทกฎหมายดังกล่าวมิได้บังคับว่าโจทก์จะต้องบรรยายฟ้องให้ครบถ้วนตามองค์ประกอบความผิด แต่ฟ้องก็ต้องบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158 (5)
เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเช็คเพียงว่า เป็นเช็คเพื่อชำระหนี้ โดยไม่ได้บรรยายถึงมูลหนี้ที่ออกเช็ค จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ฟ้องดังกล่าวไม่สมบูรณ์ แม้โจทก์แนบสำเนาเช็คและใบคืนเช็คมาพร้อมกับคำฟ้อง หาพอเป็นการยืนยันว่าจำเลยมีเจตนาจะใช้เช็คนั้นชำระหนี้ให้โจทก์ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายไม่ ฟังได้เพียงว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงิน และธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงมูลหนี้ที่ออกเช็คหากเป็นเช็คที่แลกเงินสดก็ถือว่าไม่ใช่เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง หรือหากเป็นเช็คที่ชำระหนี้เงินยืมที่มีจำนวนกว่า 50 บาทขึ้นไป โดยมิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา653 วรรคหนึ่ง จะนำมาฟ้องร้องให้บังคับชำระหนี้ไม่ได้ ถือว่าเป็นเช็คชำระหนี้ที่บังคับไม่ได้ตามกฎหมาย แต่หากโจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นเช็คที่จำเลยออกให้ชำระค่าซื้อสินค้าที่ค้างชำระ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาออกเช็คโดยไม่มีเงิน การออกเช็คเพื่อชำระหนี้แล้วถูกปฏิเสธ ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
การที่จำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าให้แก่ อ. ถือว่าเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ เมื่อเช็คดังกล่าวถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน การออกเช็คของจำเลยจึงเป็นการออกโดยมีเจตนาจะไม่ใช้เงินตามเช็คอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534 มาตรา 4 (1) (3) การที่ อ. นำเช็คดังกล่าวไปแลกเงินสดกับผู้เสียหายเป็นเรื่องระหว่าง อ. กับผู้เสียหาย ไม่ทำให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง แม้มีการโอนเช็คต่อ แต่เจตนาเดิมคือชำระหนี้จึงมีผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยออกเช็คชำระหนี้ค่าชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์แก่อ. เป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ แม้ อ. จะนำเช็คไปแลกเงินสดจากผู้เสียหาย และผู้เสียหายเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินก็ตาม จำเลยก็มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4(1)(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชี ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค แม้จะมีการโอนเช็คต่อ
การที่จำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าให้แก่ อ.ถือว่าเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้เมื่อเช็คดังกล่าวถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน การออกเช็คของจำเลยจึงเป็นการออกโดยมีเจตนาจะไม่ใช้เงินตามเช็คอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4(1)(3) การที่ อ. นำเช็คดังกล่าวไปแลกเงินสดกับผู้เสียหายเป็นเรื่องระหว่าง อ. กับผู้เสียหาย ไม่ทำให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 445/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชิงทรัพย์โดยมีเจตนาอวดอ้างหรือไม่ การลดโทษเนื่องจากวัยเยาว์และสภาพแวดล้อม
จำเลยใช้มีดจี้ผู้เสียหายและดึงสร้อยคอจากคอผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายส่งเสียงดัง จำเลยก็พูดว่าไม่ต้องร้อง คืนสร้อยให้แล้ว แล้วจำเลยคืนสร้อยให้ผู้เสียหายไปทั้งจำเลยให้การชั้นสอบสวนว่าเหตุที่กระทำผิดเนื่องจากอยากลองและนึกสนุก แสดงว่าจำเลยกระทำโดยมิได้มีความประสงค์ต่อทรัพย์ที่แท้จริงแต่เพื่ออวดในทางที่ผิดด้วยความโง่เขลาตามประสาวัยรุ่น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 445/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการกระทำความผิดชิงทรัพย์: การคืนทรัพย์และความประสงค์เพื่ออวดอ้างในวัยรุ่น
จำเลยเป็นผู้คืนสร้อยคอทองคำให้ผู้เสียหายเองเมื่อผู้เสียหายเพียงแต่ร้อง "ว้าย" โดยจำเลยพูดว่า "ไม่ต้องร้อง...ไม่ต้องร้องคืนสร้อยให้แล้ว" หากจำเลยประสงค์ในตัวทรัพย์จริงก็ไม่น่าที่จะต้องคืนทรัพย์ให้และพูดจาในเชิงปลอบผู้เสียหาย จำเลยน่าที่จะวิ่งหนีไปพร้อมสร้อยที่ชิงได้มากกว่า จำเลยตอบคำถามของพนักงานสอบสวนถึงเหตุที่กระทำผิดว่า "เนื่องจากข้าฯ อยากลองนึกสนุก" อันเป็นลักษณะของวัยรุ่นที่โง่เขลาและหลงผิด ชอบอวดเก่งในทางที่ไม่เรียบร้อย ประกอบกับฐานะครอบครัวของจำเลยนั้น มีผู้ปกครองที่มีอาชีพมั่นคงโดยทั้งบิดาและมารดาเป็นข้าราชการระดับ 6 ทั้งคู่เมื่อประมวลเหตุทั้งหมดแล้วน่าเชื่อว่า จำเลยกระทำโดยมิได้มีความประสงค์ต่อทรัพย์ที่แท้จริง หากเป็นการกระทำเพื่อแสดงออกซึ่งเป็นการอวดในทางที่ผิดด้วยความโง่เขลาตามประสาวัยรุ่นที่อยู่ในวัยคะนอง จึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้อง แต่ที่จำเลยร่วมกับพวกใช้มีดจี้ขู่เข็ญผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพโดยใช้อาวุธ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้อง จึงลงโทษจำเลยได้ตามที่พิจารณาได้ความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 407/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมกระทำความผิดอาญา: เจตนาช่วยเหลือให้กระทำผิด
จำเลยที่ 2 มีความเกี่ยวพันเป็นอาเขยของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ทราบดีอยู่แล้วว่า จำเลยที่ 2 มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครอง การที่จำเลยที่ 1 ยอมเปลี่ยนเป็นคนขับรถจักรยานยนต์แทนจำเลยที่ 2 ก็เพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 2 ที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์จะได้ใช้อาวุธปืนได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้นเมื่อจำเป็นจะต้องใช้ และจำเลยที่ 1 ทราบดีอยู่แล้วว่าเจ้าพนักงานตำรวจกำลังติดตามตรวจค้นจำเลยทั้งสอง ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงจ่าสิบตำรวจ ม.ผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลื่อนคดี: เหตุจำเป็นและเจตนาของผู้ร้องในการดำเนินคดี
ในวันนัดสืบพยานผู้ร้องซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนทนายผู้ร้องมาศาลและยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี แสดงว่าผู้ร้องยังใส่ใจในคดี เมื่อผู้ร้องขอเลื่อนคดีเป็นครั้งแรกด้วยเหตุที่ผู้ร้องไปทำงานรับจ้างอยู่ที่ต่างจังหวัดกลับมาไม่ได้ตามกำหนด ซึ่งแม้โจทก์จะแถลงคัดค้านคำร้องขอเลื่อนคดีก็ตาม แต่โจทก์ก็มิได้แถลงคัดค้านว่าข้ออ้างของผู้ร้องไม่ความจริง จึงนับได้ว่ามีเหตุจำเป็นแม้ผู้ร้องจะยื่นบัญชีระบุพยานไว้ แต่ศาลสั่งไม่รับก็ไม่เป็นเหตุที่จะถือว่าผู้ร้องประวิงคดีจึงสมควรที่ศาลจะอนุญาตให้เลื่อนคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขาย: เอกสารแสดงเจตนาครบถ้วนสมบูรณ์ แม้มิได้ใช้คำว่า 'สัญญา' ก็มีผลผูกพันตามกฎหมาย
เอกสารแม้จะมิได้ใช้ถ้อยคำว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย แต่ก็มีข้อความระบุชัดแจ้งถึงข้อตกลงของคู่กรณีในอันที่จะทำการซื้อขายที่ดินโดยระบุชัดเจนทั้งตัวทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งหนี้ ราคาที่ซื้อขายทอดตลาดจนวิธีการและกำหนดเวลาในการปฏิบัติการชำระหนี้ได้สาระสำคัญครบถ้วน จึงมีผลเป็นสัญญาจะซื้อจะขายบริบูรณ์ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลโดยจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่ง จำเลยที่ 2 จึงมีฐานะเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1ตามกฎหมายโดยไม่จำต้องมีหนังสือมอบอำนาจ เอกสารสัญญาจะซื้อจะขายเป็นข้อตกลงที่เกิดจากการเสนอของคู่กรณีโดยถูกต้องสมบูรณ์ มีสาระสำคัญครบถ้วนมีผลเป็นนิติกรรมแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ได้สนองรับคู่กรณีผู้แสดงเจตนาย่อมต้องผูกพันตามผลนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3864/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันพยายามฆ่า: จำเลยที่ 2 ไม่ได้มีเจตนาตั้งแต่แรก และการกระทำหลังเกิดเหตุไม่ถึงขั้นร่วมมือ
จำเลยทั้งสองไปงานเทศกาลทำบุญวันสารท ที่วัด ไม่ได้เจตนาร่วมกันไปฆ่าผู้เสียหายมาตั้งแต่แรก เมื่อพบผู้เสียหายที่หน้าศาลาการเปรียญ จำเลยที่ 1 เข้าไปเอาอาวุธปืนจ่อขมับผู้เสียหายเป็นเหตุการณ์ที่จำเลยที่ 2 ไม่คาดคิดมาก่อน โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยทั้งสองปรึกษาร่วมกันฆ่าผู้เสียหายมาก่อนหรือในขณะนั้นเพียงแต่เมื่อกระสุนปืนลั่นถูกผู้เสียหาย ผู้เสียหายแย่งอาวุธปืนจากจำเลยที่ 1 เมื่อ ส. เข้าไปช่วยยกผู้เสียหายออกจากที่เกิดเหตุจำเลยที่ 2 จึงกระโดดเข้าไปถีบผู้เสียหาย เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังการกระทำของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองหนีไปด้วยกันเนื่องจากมาวัดด้วยรถจักรยานยนต์ด้วยกัน และหนีไปหลังจากมีคนมาแยกผู้เสียหายออกจากจำเลยทั้งสองแล้ว พฤติการณ์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 พยายามฆ่าผู้เสียหาย ฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 2ทำร้ายผู้เสียหายไม่ถึงกับเกิดอันตรายแก่กาย
of 408