คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ข้อกฎหมาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 252 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 747/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานเมื่อมีข้อเท็จจริงพอวินิจฉัย & การยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง ทำให้ประเด็นคู่ความไม่เกิดผล
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปร่วมกันยื่นคำขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่โจทก์ จำเลยและผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินร่วมกัน จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า ที่ดินส่วนของโจทก์มีบุคคลภายนอกครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว จำเลยจึงไม่อาจไปยื่นคำขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินร่วมกับโจทก์ได้ ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า คำให้การจำเลยไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไป พิพากษาให้จำเลยไปยื่นคำขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยาน จำเลยแล้วยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัย ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 24 คำสั่งดังกล่าวจึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 คู่ความไม่ต้องโต้แย้งคำสั่งตามมาตรา 226 ก็อุทธรณ์ฎีกาได้และคำให้การจำเลยที่อ้างสิทธิของบุคคลภายนอกขึ้นต่อสู้นั้นเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2720/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายนอกเหนือจากประเด็นอุทธรณ์ และการพิจารณาว่าคำเบิกความเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความในคดีแพ่งนั้นเป็นความเท็จแต่มิได้เป็นข้อสำคัญในคดี พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้แจ้งชัดว่าจำเลยเบิกความเท็จมีความเห็นพ้อง ด้วยในผล พิพากษายืน ดังนี้กรณีไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 เนื่องจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่อย่างใดและคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อกฎหมาย กรณีจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 อีกเช่นกัน
การพิจารณาคดีอาญาของศาลอุทธรณ์ไม่จำกัดอยู่เพียงในปัญหาที่คู่ความอุทธรณ์เท่านั้น ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะหยิบยกพยานหลักฐานข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายทั้งปวงที่ปรากฏในสำนวนขึ้นวินิจฉัยได้ทั้งสิ้น เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้แจ้งชัดว่าจำเลยกระทำความผิดดังที่โจทก์ฟ้อง ก็ชอบที่จะวินิจฉัยคดีไปตามนั้นและพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ซึ่งมาตรา 215 ให้นำมาใช้บังคับ โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์เพราะย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่คดีอย่างใด.
(ความในวรรคแรกเป็นการวินิจฉัย มาตรา 220 ก่อนพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ. (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 ใช้บังคับ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2720/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายนอกเหนือจากประเด็นอุทธรณ์ และการพิจารณาว่าคำเบิกความเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความในคดีแพ่งนั้นเป็นความเท็จแต่มิได้เป็นข้อสำคัญในคดี พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้แจ้งชัดว่าจำเลยเบิกความเท็จมีความเห็นพ้อง ด้วยในผล พิพากษายืน ดังนี้กรณีไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218เนื่องจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่อย่างใดและคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อกฎหมาย กรณีจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 อีกเช่นกัน การพิจารณาคดีอาญาของศาลอุทธรณ์ไม่จำกัดอยู่เพียงในปัญหาที่คู่ความอุทธรณ์เท่านั้น ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะหยิบยกพยานหลักฐานข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายทั้งปวงที่ปรากฏในสำนวนขึ้นวินิจฉัยได้ทั้งสิ้น เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้แจ้งชัดว่าจำเลยกระทำความผิดดังที่โจทก์ฟ้อง ก็ชอบที่จะวินิจฉัยคดีไปตามนั้นและพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ซึ่งมาตรา 215ให้นำมาใช้บังคับ โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์เพราะย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่คดีอย่างใด. (ความในวรรคแรกเป็นการวินิจฉัย มาตรา 220 ก่อนพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ. (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 ใช้บังคับ).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1541/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จำเลยต้องระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ฎีกาของจำเลยที่กล่าวแต่เพียงว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยมิได้ระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงให้เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนในข้อใด เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำแถลงการณ์ประกอบฎีกาที่จำเลยยื่นต่อศาลฎีกา มิใช่ส่วนหนึ่งของฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1541/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชัดแจ้ง – จำเลยต้องระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คลาดเคลื่อนในการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ฎีกาของจำเลยที่กล่าวแต่เพียงว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยมิได้ระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงให้เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนในข้อใด เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสองประกอบมาตรา 225 คำแถลงการณ์ประกอบฎีกาที่จำเลยยื่นต่อศาลฎีกา มิใช่ส่วนหนึ่งของฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1541/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง การโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คลาดเคลื่อน
ฎีกาของจำเลยที่กล่าวแต่ เพียงว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังคลาดเคลื่อนทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดย มิได้ระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงให้เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนในข้อใด เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 คำแถลงการณ์ประกอบฎีกาที่จำเลยยื่นต่อ ศาลฎีกา มิใช่ส่วนหนึ่งของฎีกา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากโจทก์โต้เถียงเฉพาะข้อเท็จจริง โดยไม่คัดค้านคำวินิจฉัยข้อกฎหมายของศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเงินที่โจทก์ฝากไว้กับจำเลยย่อมตกเป็นของจำเลย การที่จำเลยโอนเงินที่รับฝากไว้ไปให้บุคคลอื่นจึงเป็นเรื่องที่โจทก์จะเรียกร้องเอาจากจำเลยในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานยักยอกแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ อันเป็นการยกฟ้องโดยอาศัยข้อกฎหมาย ดังนี้ โจทก์จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่เมื่อฎีกาของโจทก์คงโต้เถียงเฉพาะปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่เท่านั้น มิได้คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากฎีกาไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เงินที่โจทก์ฝากไว้กับจำเลยย่อมตกเป็นของจำเลยการที่จำเลยโอนเงินที่รับฝากไว้ไปให้บุคคลอื่นจึงเป็นเรื่องที่โจทก์จะเรียกร้องเอาจากจำเลยในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานยักยอกแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ อันเป็นการยกฟ้องโจทก์อาศัยข้อกฎหมายดังนี้ โจทก์จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อฎีกาของโจทก์คงโต้เถียงเฉพาะปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่เท่านั้น มิได้คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5566/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาที่ไม่รับเนื่องจากศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาเล็กน้อย และประเด็นข้อกฎหมายเรื่องการใช้กฎหมายอาญาที่ยกเลิกแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7 ให้ลงโทษจำคุก 1 เดือน และจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี ให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะจำนวนเงินที่ให้ใช้คืนแก่ผู้เสียหาย เป็นการแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่เพียงเล็กน้อย ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน5 ปี จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 แม้พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528จะยกเลิกพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511แต่ก็มิได้ยกเลิกความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งจำเลยกระทำ ในทางตรงกันข้ามกลับกำหนดโทษสำหรับความผิดดังกล่าวให้สูงขึ้นกว่าเดิมอีก ดังนั้น ศาลจึงชอบที่จะลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ขณะจำเลยกระทำผิดเพราะเป็นกฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 375/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งค่าจ้างย้อมผ้าชอบด้วยกฎหมาย แม้ไม่ได้ระบุอัตรา แต่โจทก์ระบุในฟ้องแล้ว
คำฟ้องของโจทก์ที่เรียกค่าเสียหายอ้างว่าจำเลยผิดสัญญารับจ้างทำการฟอกและย้อมผ้าโดยระบุอัตราค่าจ้างฟอกและย้อมผ้าไว้ชัดเจนแล้ว จำเลยให้การว่าไม่ได้ผิดสัญญาและฟ้องแย้งเรียกค่าจ้าง แม้คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไม่ได้ระบุว่าค่าจ้างย้อมผ้าคิดในอัตราใด แต่จำเลยก็มิได้ปฏิเสธซึ่งต้องฟังว่าจำเลยยอมรับอัตราค่าจ้างตามฟ้อง ไม่จำเป็นต้องระบุไว้อีกในฟ้องแย้ง จึงเป็นฟ้องแย้งที่ชอบด้วยกฎหมาย
of 26