พบผลลัพธ์ทั้งหมด 151 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 379/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งปริมาณสินค้าไม่ตรงตามความเป็นจริงตามคำสั่งนายกฯ คณะกรรมการมีอำนาจริบได้
คำสั่งนายกรัฐมนตรีตาม ม.17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรพ.ศ.2515 ให้คณะกรรมการตามกฎหมายว่าด้วยการค้ากำไรเกินควรออกคำสั่งควบคุมปริมาณและสถานที่เก็บเหล็กเส้น ถ้าแจ้งไม่ตรงความจริงให้คณะกรรมการริบและขายแก่ประชาชนได้ปรากฏว่าโจทก์แจ้งปริมาณเหล็กเส้นขาดจากปริมาณจริงเป็นจำนวนมาก คณะกรรมการมีคำสั่งริบ ไม่ปรากฏว่าคณะกรรมการทำการโดยไม่สุจริตใจ โจทก์ไม่อาจโต้แย้งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2945/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการฟ้องเพิกถงมติคณะกรรมการ แม้จะได้รับประโยชน์จากมติดังกล่าวแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนมติคณะกรรมการควบคุมการขนส่งอ้างว่าเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้โจทก์เสียหายเพราะถูกเดินรถทับเส้นทาง เมื่อได้ความว่ามติที่ประชุมดังกล่าวคณะกรรมการอนุมัติให้จำเลยที่ 3 เพิ่มจำนวนรถและจำนวนเที่ยวรถ ขณะเดียวกันก็อนุมัติให้โจทก์เพิ่มจำนวนรถกับเพิ่มเที่ยวรถจากเดิมด้วย โจทก์ได้ถือเอาประโยชน์จากมติครั้งนี้ตลอดมา มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดว่ามติไม่ชอบ คงให้เพิกถอนเฉพาะส่วนที่ไม่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ เพื่อโจทก์จะได้รับผลจากมติการประชุมนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียวเช่นนี้ ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2043/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องถูกจำกัดเมื่อคำสั่งฝ่ายบริหารและคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดมีผลผูกพันทางกฎหมาย
คำสั่งนายกรัฐมนตรีให้ริบทรัพย์สิน สั่งตามอำนาจในธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2515 มาตรา 17 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในเวลานั้น ไม่ขัดแย้งและไม่ต้องวินิจฉัยตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอีก
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ ชั้นฎีกาโจทก์ขอให้สืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ เสียค่าขึ้นศาล 50 บาทตามตาราง 1 ข้อ 2 ก. ไม่ใช่เสียตามทุนทรัพย์
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ ชั้นฎีกาโจทก์ขอให้สืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ เสียค่าขึ้นศาล 50 บาทตามตาราง 1 ข้อ 2 ก. ไม่ใช่เสียตามทุนทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1287/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเพิกถอนมติสมาคม: สิทธิสมาชิกฟ้องคณะกรรมการโดยตรงได้ แม้ไม่ต้องฟ้องสมาคม
การร้องขอให้ศาลเพิกถอนมติอันฝ่าฝืนต่อข้อบังคับของสมาคมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1291 อาจทำ เป็นคำร้องขออย่างคดีไม่มีข้อพิพาท โดยไม่จำต้องฟ้องสมาคมเป็นจำเลยก็ได้
โจทก์ฟ้องคณะกรรมการบริหารสมาคม 14 คนเป็นจำเลยขอให้จำเลยเพิกถอนมติที่ฝ่าฝืนข้อบังคับ โดยระบุว่าจำเลยมีหน้าที่รับผิดชอบบริหารกิจการตามข้อบังคับจำเลยได้ลงมติฝ่าฝืนข้อบังคับของสมาคม อันเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ในฐานะที่โจทก์เป็นสมาชิกสมาคม ดังนี้โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะที่จำเลยเป็นคณะกรรมการบริหารสมาคมผู้รับผิดชอบกิจการของสมาคม ให้เพิกถอน มติโดยฝ่าฝืนข้อบังคับได้ หาจำต้องฟ้องสมาคม ด้วยไม่
โจทก์ฟ้องคณะกรรมการบริหารสมาคมแม้คำขอของ โจทก์ระบุเจาะจง ให้จำเลยเพิกถอนมติก็ตาม แต่สภาพ แห่งการบังคับอาจไม่ เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้ ทั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1291 ก็บัญญัติให้ศาล เพิกถอนมตินั้นเสียโดยไม่ต้องบังคับให้บุคคลใด เพิกถอน ดังนั้น ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนมติ ของสมาคม โดยไม่ได้บังคับจำเลยได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องคณะกรรมการบริหารสมาคม 14 คนเป็นจำเลยขอให้จำเลยเพิกถอนมติที่ฝ่าฝืนข้อบังคับ โดยระบุว่าจำเลยมีหน้าที่รับผิดชอบบริหารกิจการตามข้อบังคับจำเลยได้ลงมติฝ่าฝืนข้อบังคับของสมาคม อันเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ในฐานะที่โจทก์เป็นสมาชิกสมาคม ดังนี้โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะที่จำเลยเป็นคณะกรรมการบริหารสมาคมผู้รับผิดชอบกิจการของสมาคม ให้เพิกถอน มติโดยฝ่าฝืนข้อบังคับได้ หาจำต้องฟ้องสมาคม ด้วยไม่
โจทก์ฟ้องคณะกรรมการบริหารสมาคมแม้คำขอของ โจทก์ระบุเจาะจง ให้จำเลยเพิกถอนมติก็ตาม แต่สภาพ แห่งการบังคับอาจไม่ เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้ ทั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1291 ก็บัญญัติให้ศาล เพิกถอนมตินั้นเสียโดยไม่ต้องบังคับให้บุคคลใด เพิกถอน ดังนั้น ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนมติ ของสมาคม โดยไม่ได้บังคับจำเลยได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1627/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้มีผลผูกพัน แม้การซื้อขัดมติคณะกรรมการ การซื้อผิดแหล่งถือเป็นความผิดของผู้ซื้อ
จำเลยได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้เป็นผู้ซื้อข้าวโพดให้โจทก์โดยให้ซื้อเฉพาะหน้าฉาง แต่จำเลยไปซื้อข้าวโพดจากประเทศลาว จำเลยได้ยืมเงินทดรองไปจากโจทก์จำนวนหนึ่ง จำเลยซื้อข้าวโพดแล้วยังเหลือเงินอยู่บ้าง ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมใช้เงินจำนวนที่เหลือนี้แก่โจทก์ จำเลยจะอ้างว่าเนื่องจากรัฐบาลสั่งปิดพรมแดนไม่สามารถนำข้าวโพดเข้ามาในประเทศได้ การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยย่อมฟังไม่ได้ เพราะเป็นความผิดของจำเลยเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2571/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการตามคำสั่งนายกฯ และขอบเขตการฟ้องร้องโต้แย้งคำวินิจฉัย
คำสั่งของนายกรัฐมนตรีสั่งโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2515 ให้ทรัพย์สินของบุคคลที่ระบุในคำสั่งซึ่งอายัดไว้แล้วตกเป็นของรัฐ หากบุคคลใดอ้างว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของตนให้ยื่นคำร้องขอคืนต่อคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้น เมื่อตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวระบุว่าในการที่คณะกรรมการเห็นว่าผู้ยื่นคำร้องไม่อาจพิสูจน์ให้เป็นที่ พอใจได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ตนได้มาโดยสุจริตโดยชอบ ให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดไม่คืนทรัพย์สินให้และการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด ดังนี้ ตามปกติผู้ยื่นคำร้องหาอาจนำเรื่องราวมาฟ้องร้องต่อศาลเกี่ยวกับการวินิจฉัยชี้ขาดอันเป็นดุลยพินิจในการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการได้อีกไม่ เว้นแต่จะปรากฏว่าการใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการนั้นเป็นการใช้โดยไม่สุจริต เพื่อกลั่นแกล้งผู้ยื่นคำร้องหรือเป็นการใช้ดุลยพินิจชี้ขาดอันขัดแย้งต่อพยานหลักฐาน
แม้โจทก์จะกล่าวอ้างในฟ้องที่เรียกทรัพย์ซึ่งคณะกรรมการไม่คืนให้โจทก์ว่าการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการ เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลทั้งในด้านกฎหมายและข้อเท็จจริง ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อโจทก์โดยชอบด้วยหลักนิติศาสตร์ เป็นการวินิจฉัยที่ไม่สุจริตก็ตามแต่เหตุผลที่โจทก์อ้างว่าคำวินิจฉัยนั้นไม่ชอบด้วยเหตุผลและไม่สุจริตก็ปรากฏ เพียงว่าคณะกรรมการมิได้สอบสวนหรือพิสูจน์ หรือไม่เรียกโจทก์ไปสอบสวนหรือพิสูจน์ก่อนทั้ง ๆ ที่โจทก์มีพยานหลักฐานพร้อมเหตุผลเพียงเท่านี้จะถือว่าคณะกรรมการกระทำโดยไม่ชอบด้วยเหตุผลและไม่สุจริต หาได้ไม่ เพราะเมื่อคณะกรรมการเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ยื่น เพื่อขอรับทรัพย์สินคืนไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ได้มาโดยสุจริตและโดยชอบ คณะกรรมการก็ชอบที่จะวินิจฉัยชี้ขาดไปได้ทีเดียว หาจำต้องทำการสอบสวนหรือพิสูจน์ต่อไปอีกไม่ศาลจึงชอบที่จะไม่รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา
แม้โจทก์จะกล่าวอ้างในฟ้องที่เรียกทรัพย์ซึ่งคณะกรรมการไม่คืนให้โจทก์ว่าการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการ เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลทั้งในด้านกฎหมายและข้อเท็จจริง ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อโจทก์โดยชอบด้วยหลักนิติศาสตร์ เป็นการวินิจฉัยที่ไม่สุจริตก็ตามแต่เหตุผลที่โจทก์อ้างว่าคำวินิจฉัยนั้นไม่ชอบด้วยเหตุผลและไม่สุจริตก็ปรากฏ เพียงว่าคณะกรรมการมิได้สอบสวนหรือพิสูจน์ หรือไม่เรียกโจทก์ไปสอบสวนหรือพิสูจน์ก่อนทั้ง ๆ ที่โจทก์มีพยานหลักฐานพร้อมเหตุผลเพียงเท่านี้จะถือว่าคณะกรรมการกระทำโดยไม่ชอบด้วยเหตุผลและไม่สุจริต หาได้ไม่ เพราะเมื่อคณะกรรมการเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ยื่น เพื่อขอรับทรัพย์สินคืนไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ได้มาโดยสุจริตและโดยชอบ คณะกรรมการก็ชอบที่จะวินิจฉัยชี้ขาดไปได้ทีเดียว หาจำต้องทำการสอบสวนหรือพิสูจน์ต่อไปอีกไม่ศาลจึงชอบที่จะไม่รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2571/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการตามคำสั่งนายกฯ เป็นที่สุด เว้นแต่ใช้ดุลพินิจไม่สุจริต
คำสั่งของนายกรัฐมนตรีสั่งโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 17แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2515 ให้ทรัพย์สินของบุคคลที่ระบุในคำสั่งซึ่งอายัดไว้แล้วตกเป็นของรัฐ หากบุคคลใดอ้างว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของตน ให้ยื่นคำร้องขอคืนต่อคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้น เมื่อตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวระบุว่าในการที่คณะกรรมการเห็นว่าผู้ยื่นคำร้องไม่อาจพิสูจน์ให้เป็นที่พอใจได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ตนได้มาโดยสุจริต โดยชอบ ให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดไม่คืนทรัพย์สินให้ และการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด ดังนี้ ตามปกติผู้ยื่นคำร้องหาอาจนำเรื่องราวมาฟ้องร้องต่อศาลเกี่ยวกับการวินิจฉัยชี้ขาดอันเป็นดุลพินิจในการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการได้อีกไม่ เว้นแต่จะปรากฏว่าการใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการนั้นเป็นการใช้โดยไม่สุจริตเพื่อกลั่นแกล้งผู้ยื่นคำร้อง หรือเป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดอันขัดแย้งต่อพยานหลักฐาน
แม้โจทก์จะกล่าวอ้างในฟ้องที่เรียกทรัพย์ซึ่งคณะกรรมการไม่คืนให้โจทก์ว่า การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลทั้งในด้านกฎหมายและข้อเท็จจริง ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อโจทก์โดยชอบด้วยหลักนิติศาสตร์ เป็นการวินิจฉัยที่ไม่สุจริตก็ตาม แต่เหตุผลที่โจทก์อ้างว่าคำวินิจฉัยนั้น ไม่ชอบด้วยเหตุผลและไม่สุจริต ก็ปรากฏเพียงว่าคณะกรรมการมิได้สอบสวนหรือพิสูจน์ หรือไม่เรียกโจทก์ไปสอบสวนหรือพิสูจน์ก่อน ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีพยานหลักฐานพร้อม เหตุผลเพียงเท่านี้จะถือว่าคณะกรรมการกระทำโดยไม่ชอบด้วยเหตุผล และไม่สุจริตหาได้ไม่ เพราะเมื่อคณะกรรมการเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ยื่นเพื่อขอรับทรัพย์สินคืนไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ได้มาโดยสุจริตและโดยชอบ คณะกรรมการก็ชอบที่จะวินิจฉัยชี้ขาดไปได้ทีเดียว หาจำต้องทำการสอบสวนหรือพิสูจน์ต่อไปอีกไม่ ศาลจึงชอบที่จะไม่รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา
แม้โจทก์จะกล่าวอ้างในฟ้องที่เรียกทรัพย์ซึ่งคณะกรรมการไม่คืนให้โจทก์ว่า การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลทั้งในด้านกฎหมายและข้อเท็จจริง ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อโจทก์โดยชอบด้วยหลักนิติศาสตร์ เป็นการวินิจฉัยที่ไม่สุจริตก็ตาม แต่เหตุผลที่โจทก์อ้างว่าคำวินิจฉัยนั้น ไม่ชอบด้วยเหตุผลและไม่สุจริต ก็ปรากฏเพียงว่าคณะกรรมการมิได้สอบสวนหรือพิสูจน์ หรือไม่เรียกโจทก์ไปสอบสวนหรือพิสูจน์ก่อน ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีพยานหลักฐานพร้อม เหตุผลเพียงเท่านี้จะถือว่าคณะกรรมการกระทำโดยไม่ชอบด้วยเหตุผล และไม่สุจริตหาได้ไม่ เพราะเมื่อคณะกรรมการเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ยื่นเพื่อขอรับทรัพย์สินคืนไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ได้มาโดยสุจริตและโดยชอบ คณะกรรมการก็ชอบที่จะวินิจฉัยชี้ขาดไปได้ทีเดียว หาจำต้องทำการสอบสวนหรือพิสูจน์ต่อไปอีกไม่ ศาลจึงชอบที่จะไม่รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2096/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทำนิติกรรมของตัวแทนรักษาการตามมติคณะกรรมการในสัญญาซื้อขายรัฐวิสาหกิจ
โรงงานกระสอบป่านไม่เป็นนิติบุคคล อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกรมโรงงานอุตสาหกรรมโจทก์ โจทก์ได้มอบอำนาจให้ผู้อำนวยการโรงงานกระสอบป่านมีอำนาจทำนิติกรรมเกี่ยวกับการซื้อขาย และตามข้อบังคับว่าด้วยการบริหารโรงงานกระสอบป่าน กรมโรงงานอุตสาหกรรม พ.ศ.2515 ข้อ 17 ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการอำนวยการไว้ว่า ให้คณะกรรมการอำนวยการมีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและควบคุมการบริหารงานโดยทั่วไปของโรงงาน ทั้งนี้เพื่อให้โรงงานดำเนินกิจการไปตามวัตถุประสงค์ในขณะที่ทำสัญญาซื้อขายกับจำเลย ผู้อำนวยการโรงงานกระสอบป่านผู้ได้รับมอบอำนาจจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมให้ทำสัญญาได้ไปราชการ ต่างประเทศ คณะกรรมการอำนวยการโรงงานกระสอบป่าน กรมโรงงานอุตสาหกรรมจึงมีมติให้ผู้จัดการโรงงานกระสอบป่านเป็นผู้รักษาการแทนและลงนามแทนผู้อำนวยการ ผู้จัดการโรงงานจึงลงนามแทนในสัญญาซื้อขายกับจำเลยได้ ดังนั้นกรมโรงงานอุตสาหกรรมจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตามสัญญาซื้อขายที่ผู้จัดการโรงงานลงนามไว้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2573/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจนายกฯ ตาม ม.17 ธรรมนูญฯ 2515: คำสั่งชอบด้วยกฎหมาย, คณะกรรมการมีอำนาจพิจารณา, ไม่ขัดแย้งประเพณี
มาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2515 ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและระงับการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร เศรษฐกิจ และราชการแผ่นดิน คำสั่งต่างๆ ที่นายกรัฐมนตรีออกเพื่อการนี้จึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ไม่เป็นโมฆะ ไม่ต้องคืนทรัพย์แก่โจทก์ การวินิจฉัยว่าคำสั่งหรือการกระทำชอบด้วยมาตรา 17 หรือไม่ อยู่ที่ความเห็นของนายกรัฐมนตรี มิใช่ความเห็นของโจทก์หรือผู้อื่น (อ้างคำพิพากษาฎีกาประชุมใหญ่ที่ 494/2510)
การที่คณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นเพื่อทำการสอบสวนต้องพิจารณาให้เสร็จสิ้นโดยเร็วตามคำสั่งคณะกรรมการใช้ดุลพินิจไม่ยอมให้ผู้ร้องนำพยานบุคคลเข้าสืบประกอบเอกสารที่คณะกรรมการรับพิจารณาอยู่แล้ว ไม่ถือเป็นการรวบรัดวินิจฉัยโดยไม่เป็นธรรม การปฏิบัติตามคำสั่งนั้นถือว่าชอบด้วยกฎหมายตามที่มาตรา 17 ตอนท้ายของวรรคแรกบัญญัติไว้
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรฯ มาตรา 17 ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่งการดังกล่าวเป็นบทบัญญัติในธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดอยู่แล้ว จึงไม่เป็นการขัดแย้งหรือจะต้องวินิจฉัยตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยตามมาตรา 22
การที่คณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นเพื่อทำการสอบสวนต้องพิจารณาให้เสร็จสิ้นโดยเร็วตามคำสั่งคณะกรรมการใช้ดุลพินิจไม่ยอมให้ผู้ร้องนำพยานบุคคลเข้าสืบประกอบเอกสารที่คณะกรรมการรับพิจารณาอยู่แล้ว ไม่ถือเป็นการรวบรัดวินิจฉัยโดยไม่เป็นธรรม การปฏิบัติตามคำสั่งนั้นถือว่าชอบด้วยกฎหมายตามที่มาตรา 17 ตอนท้ายของวรรคแรกบัญญัติไว้
ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรฯ มาตรา 17 ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่งการดังกล่าวเป็นบทบัญญัติในธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดอยู่แล้ว จึงไม่เป็นการขัดแย้งหรือจะต้องวินิจฉัยตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยตามมาตรา 22
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ภาษีขาดอายุความ แม้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์รับวินิจฉัย ก็ไม่ทำให้เป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย
เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีการค้าที่โจทก์ต้องชำระแล้วได้แจ้งการประเมินไปยังโจทก์ตามแบบแจ้งจำนวนเงินภาษีการค้าโดยผู้ช่วยสรรพากรจังหวัดเป็นผู้นำไปส่งที่บ้านโจทก์แต่ไม่พบโจทก์จึงส่งให้คนในบ้านโจทก์รับแทน แม้จะไม่ได้ส่งแบบแจ้งจำนวนเงินภาษีการค้าดังกล่าวให้แก่โจทก์ แต่ต่อมาโจทก์ได้รับกับเจ้าพนักงานว่าโจทก์ได้ทราบการประเมินตามที่เจ้าพนักงานได้แจ้งไปแล้ว จึงต้องฟังว่าโจทก์ได้รับแจ้งการประเมินแล้วตั้งแต่วันที่รับกับเจ้าพนักงาน โจทก์ยื่นอุทธรณ์เกินกำหนด 30 วันเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากรมาตรา 30 แม้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ ก็หามีผลให้อุทธรณ์นั้นกลายเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่ เท่ากับโจทก์ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง