พบผลลัพธ์ทั้งหมด 155 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2807/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีก่อน: ห้ามจำเลยโต้แย้งสิทธิในที่ดินหลังศาลตัดสินแล้ว
คดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาว่าที่ดินพิพาทคดีนี้เป็นของจำเลย ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง ให้ยกฟ้องโจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ดังนี้ จำเลยจะต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยอีกไม่ได้เพราะผลแห่งคำพิพากษาคดีก่อนผูกพันจำเลยมิให้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา145
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3134/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ประเด็นค่านายหน้าที่เคยถูกวินิจฉัยในคดีก่อนแล้ว ไม่อาจฟ้องใหม่ได้
ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร. เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของบริษัท ส. ตามสัญญาตั้งตัวแทน ต่อมาบริษัท ส.บอกเลิกสัญญาและฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัด ร.ให้ชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการเป็นตัวแทน ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร.ต่อสู้คดีหลายข้อ ข้อหนึ่งต่อสู้ว่า บริษัท ส.ยังไม่ได้คิดบัญชีค่านายหน้าและชำระค่านายหน้าให้ ในคดีดังกล่าว บริษัท ส. และห้างหุ้นส่วนจำกัด ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร.คิดบัญชีแล้วหักค่านายหน้าและค่าป่วยการอื่นๆ จากจำนวนหนี้ที่ฟ้อง ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดห้างหุ้นส่วนจำกัด ร.จึงมาฟ้องเรียกค่านายหน้าตามสัญญาตั้งตัวแทนฉบับเดิม โดยอ้างว่า เพิ่งรู้ว่ายังมีค่านายหน้าอีกจำนวนหนึ่งซึ่งบริษัท ส.ต้องชำระให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร.ตามสัญญาดังกล่าว ดังนี้ แสดงว่าสิทธิเรียกค่านายหน้ากันได้หรือไม่เป็นจำนวนเท่าใด เป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับประเด็นซึ่งได้วินิจฉัยถึงที่สุดไปแล้วในคดีก่อนเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3134/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คดีค่านายหน้าถูกวินิจฉัยแล้วในคดีก่อน แม้จะอ้างเพิ่งทราบภายหลังก็ยังเป็นฟ้องซ้ำ
ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร.เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของบริษัทส. ตามสัญญาตั้งตัวแทน ต่อมาบริษัท ส.บอกเลิกสัญญาและฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดร. ให้ชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการเป็นตัวแทน ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร. ต่อสู้คดีหลายข้อข้อหนึ่งต่อสู้ว่า บริษัท ส. ยังไม่ได้คิดบัญชีค่านายหน้าและชำระค่านายหน้าให้ในคดีดังกล่าว บริษัท ส. และห้างหุ้นส่วนจำกัดได้ตกลงทำสัญญาประนีประยอมยอมความกันโดยให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดร. คิดบัญชีแล้วหักค่านายหน้าและค่าป่วยการอื่น ๆ จากจำนวนหนี้ที่ฟ้อง ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร. จึงมาฟ้องเรียกค่านายหน้าตามสัญญาตั้งตัวแทนฉบับเดิม โดยอ้างว่าเพิ่งรู้ว่ายังมีค่านายหน้าอีกจำนวนหนึ่งซึ่งบริษัท ส.ต้องชำระให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดร. ตามสัญญาดังกล่าว ดังนี้ แสดงว่าสิทธิเรียกร้องค่านายหน้ากันได้หรือไม่เป็นจำนวนเท่าใด เป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับประเด็นซึ่งไว้วินิจฉัยถึงที่สุดไปแล้วในคดีก่อน เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: แม้ศาลฎีกาคดีก่อนไม่ได้ตัดสิทธิ แต่การฟ้องใหม่ต้องได้รับการอนุญาตจากศาลในคดีก่อนจึงจะชอบ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้าหุ้นส่วนทำไม้กับโจทก์ 39 รายถ้าทำไม้เสร็จรายใดก็คิดบัญชีกัน จำเลยไม่คิดบัญชีแบ่งผลกำไรจึงขอให้เลิกห้างหุ้นส่วนและชำระบัญชี ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่มีเหตุที่จะต้องเลิกห้างหุ้นส่วนและไม่มีเหตุที่จะต้องชำระบัญชี ส่วนในเรื่องคิดบัญชีกันนั้น เป็นข้อพิพาทโต้เถียงกันในชั้นคิดบัญชีหลังจากทำไม้หุ้นส่วนเสร็จแล้ว โจทก์ชอบที่จะเสนอคดีอย่างคดีมีทุนทรัพย์ แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์และไม่ได้ขอบังคับให้จำเลยใช้เงินคืนจึงไม่วินิจฉัยข้อพิพาทโต้เถียงกันในชั้นคิดบัญชีให้ และพิพากษายกฟ้องโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกว่าผิดสัญญาหุ้นส่วนและไม่แบ่งผลกำไรขอให้ใช้เงินคืน ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ก็คือ โจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนทำไม้ด้วยกันและจำเลยไม่ยอมแบ่งกำไรซึ่งเป็นข้ออ้างเดียวกันกับที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคดีก่อน แม้ข้อหาของโจทก์ในคดีก่อนจะเป็นเรื่องขอให้เลิกห้างหุ้นส่วนและชำระบัญชี และข้อหาในคดีนี้เป็นเรื่องให้ใช้เงินคืนก็ตาม ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยก็สืบเนื่องมาจากมูลฐานและข้ออ้างเดียวกันคือ โจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนทำไม้กันหรือไม่ โจทก์ชอบที่จะเสนอข้อหาดังกล่าวรวมไปในฟ้องในคราวเดียวกัน แต่โจทก์มิได้กระทำโดยเลี่ยงไม่ยอมเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ ศาลฎีกาในคดีก่อนจึงไม่รับวินิจฉัยข้อหาเรื่องนี้ให้ การที่โจทก์มารื้อร้องฟ้องจำเลยในคดีนี้อีกโดยอาศัยมูลฟ้องและข้ออ้างเดียวกันจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
การที่จะฟ้องใหม่ได้ตามมาตรา 148(3) นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลในคดีก่อนอนุญาตไว้ในคำพิพากษา มิใช่ถ้าคำพิพากษาในคดีก่อนไม่ได้ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องว่ากล่าวอีกแล้ว โจทก์จะฟ้องได้ มิฉะนั้นบทบัญญัติเรื่องห้ามฟ้องซ้ำที่บัญญัติไว้ในวรรคแรกของมาตรานี้ย่อมไร้ผลบังคับ
การที่จะฟ้องใหม่ได้ตามมาตรา 148(3) นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลในคดีก่อนอนุญาตไว้ในคำพิพากษา มิใช่ถ้าคำพิพากษาในคดีก่อนไม่ได้ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องว่ากล่าวอีกแล้ว โจทก์จะฟ้องได้ มิฉะนั้นบทบัญญัติเรื่องห้ามฟ้องซ้ำที่บัญญัติไว้ในวรรคแรกของมาตรานี้ย่อมไร้ผลบังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1007/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดินวินิจฉัยแล้วในคดีก่อน แม้ศาลไม่ได้วินิจฉัยโดยตรงจากคำฟ้อง
จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ให้รื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของจำเลย และให้โจทก์ส่งมอบที่พิพาทคืน โจทก์ให้การต่อสู้คดีแล้วได้มีการท้ากันและโจทก์แพ้คดีตามคำท้า โจทก์มาฟ้องใหม่ว่าที่ดินซึ่งโจทก์ปลูกบ้านอยู่นอกเขตที่ดินของจำเลย ไม่ใช่ของจำเลย ดังนี้ คดีก่อนที่จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์มีประเด็นอยู่ว่าที่ดินที่จำเลยฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยหรือไม่ และที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ก็มีประเด็นที่จะให้ศาลวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ แม้ในคดีก่อนศาลจะมิได้วินิจฉัยในประเด็นเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยตรง เพราะคู่ความตกลงท้ากัน แต่เมื่อศาลได้วินิจฉัยตามคำท้าของคู่ความแล้ว ก็ต้องถือว่าศาลได้วินิจฉัยในประเด็นเรื่องกรรมสิทธิ์ที่พิพาทด้วย ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าคู่ความในคดีก่อนและคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกัน และคดีก่อนถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีมาฟ้องใหม่อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1007/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดินเคยถูกวินิจฉัยในคดีก่อน แม้ศาลวินิจฉัยตามคำท้า ก็ถือเป็นการวินิจฉัยกรรมสิทธิ์แล้ว
จำเลยเคยฟ้องขับไล่โจทก์ให้รื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของจำเลย และให้โจทก์ส่งมอบที่พิพาทคืน โจทก์ให้การต่อสู้คดีแล้วได้มีการท้ากันและโจทก์แพ้คดีตามคำท้า โจทก์มาฟ้องใหม่ว่าที่ดินซึ่งโจทก์ปลูกบ้านอยู่นอกเขตที่ดินของจำเลย ไม่ใช่ของจำเลย ดังนี้ คดีก่อนที่จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์มีประเด็นอยู่ว่าที่ดินที่จำเลยฟ้องเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยหรือไม่ และที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ก็มีประเด็นที่จะให้ศาลวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหรือไม่ แม้ในคดีก่อนศาลจะมิได้วินิจฉัยในประเด็นเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยตรงเพราะคู่ความตกลงท้ากัน แต่เมื่อศาลได้วินิจฉัยตามคำท้าของคู่ความแล้ว ก็ต้องถือว่าศาลได้วินิจฉัยในประเด็นเรื่องกรรมสิทธิ์ที่พิพาทด้วย ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าคู่ความในคดีก่อนและคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันและคดีก่อนถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้นำคดีมาฟ้องใหม่อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อน และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจากการเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์จำเลยได้พิพาทกันมาครั้งหนึ่งแล้ว โดยโจทก์ได้ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่ ว.ยกบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ซึ่งในคดีนั้นจำเลยต่อสู้ว่าทรัพย์พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของ ค.และจำเลย ศาลฎีกาพิพากษาว่าทรัพย์พิพาทเป็นของ ค. ซึ่งได้จดทะเบียนยกให้โจทก์และน้องแล้ว สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่าง ว. และจำเลยฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 ไม่มีผลผูกพันโจทก์คำพิพากษาในคดีก่อนได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่าบ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จึงผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีก่อนแล้วด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2910/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้คำเบิกความจากคดีก่อนเป็นหลักฐานพิสูจน์ความผิดในคดีใหม่ จำเป็นต้องมีการสืบพยานต่อหน้าจำเลย
โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานขณะเกิดเหตุมาเบิกความเพราะตามหาตัวไม่พบ ดังนี้ จะถือเอาคำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวในคดีเรื่องก่อนมาใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยในคดีนี้หาได้ไม่ เพราะการพิจารณาสืบพยานผู้เสียหายในคดีก่อนไม่ได้กระทำต่อหน้าจำเลยในคดีนี้ ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172ได้บัญญัติไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 879/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและขอบเขตคำพิพากษา: การฟ้องเรียกเงินจำนวนเดิมจากจำเลยต่างกันหลังมีคำพิพากษาในคดีก่อน
จำเลยที่ 1 ในคดีนี้เคยเป็นโจทก์ฟ้องคณะกรรมการวัด ส.รวม 11 คนเป็นจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 387/2510 และโจทก์ในคดีนี้ได้เข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีดังกล่าวดังนั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 ในคดีนี้จึงเป็นคู่ความเดียวกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 387/2510 เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 1 ในประเด็นที่วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีก ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นฟ้องซ้ำ ส่วนจำเลยที่ 2 ในคดีนี้มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน คำพิพากษาในประเด็นแห่งคดีดังกล่าวจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 การที่โจทก์กลับมาฟ้องเรียกเงินจำนวนนี้อีกจากจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงยุติในคดีก่อนไม่ผูกมัดคดีหลัง ศาลพิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนคดีปัจจุบันเป็นสำคัญ
ในคดีก่อนจำเลยเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอัน เกิดจากการใช้เช็ค และเบิกความว่าโจทก์ออกเช็คแลกเงินสดไปจากจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ออกเช็คดังกล่าวให้จำเลยเป็นประกันการกู้ยืม โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยกล่าวหาจำเลยฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในคดีก่อน ดังนี้คำชี้ขาดของศาลในข้อเท็จจริงในคดีก่อนนั้นต้องถือว่ายุติระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนั้น ส่วนคดีหลังนี้ก็ชอบที่ศาลจะต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้เป็นสำคัญ จะถือเอาข้อเท็จจริงซึ่งยุติในคดีก่อนมาผูกมัดให้ศาลวินิจฉัยคดีหลังตามหาได้ไม่ ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเพียงพยานหลักฐานส่วนหนึ่งซึ่งศาลอาจใช้ประกอบการพิจารณาคดีหลังเท่านั้น ศาลจึงวินิจฉัยคดีหลังนี้โดยไม่ต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีเรื่องก่อน